๒๕๕๑-๑๐-๒๒

VIRUS หมูน้ำ !...

.. คิดถึง "น้องหมูน้ำ" มาหลายเดือนแล้ว...
ผมรู้จักน้องหมูน้ำเมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว น้องหมูน้ำเป็นเด็กสาวม.ปลายที่ทั้งน่ารัก เก่ง และมีความรับผิดชอบสูง ผ่านงานโฆษณามาหลายอยู่ เล่นละครมาบ้าง ร้องเพลงก็ใช้ได้ ช่วงที่ได้ร่วมงานกับเธอ ทำให้แสงอาทิตย์ในแต่ละวันที่ส่องโลกของผมมีสีสันสวยงาม รวมถึงคนรอบๆข้างเธอทั้งหลายก็มีความสุขไปด้วย น่าเสียดายนักที่เรามีโอกาสร่วมงานกันจนถึงแค่ต้นปีนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีกเลย .. เธอเป็นมนุษย์พันธุ์ที่ผมอยากได้เป็นน้องสาวยิ่งนัก


เมื่อวานก่อนไม่ค่อยสบาย นอนน้อย มีนัดงานแต่เช้า พอตกเย็นก็เลยเบลอๆวูบอยากนอนผสมเป็นลม แถมยังหิวจนหูอื้อ ก่อนกลับบ้านเลยไปหาอาหารว่างที่คาร์ฟูสักหน่อย... ขณะที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อนสายตาเบลอๆก็บังเอิญไปป๊ะเท่งป๊ะกับ "น้องหมูน้ำ" และเหล่าแฟนคลับ ก็เลยได้ทักทาย เอารอยยิ้มมาแลกกันอยู่หลายนาที ได้ความว่าเธอเพิ่งไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยมา ส่วนงานเพลงคงยังไม่มีวี่แวว เพราะช่วงนี้ต้องไปเล่นละครก่อน เธอถามไถ่ถึงพี่ๆทีมงานคนอื่นเล็กน้อย ก่อนจะฝากว่าเดี๋ยวจะเอาขนมไปเยี่ยมทุกคน .....


น่าแปลกนะครับ หลังจากคุยกับเธอแค่ไม่กี่นาที ไอ้สมองและหัวใจหมดแรงของผมก็พลันสดชื่นขึ้น ผมเชื่อแล้วว่า ไอ้พลังความรู้สึกดีๆที่คนเรามีนั้น มันส่งผ่านและมอบให้แก่กันได้จริง ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที คิดๆไปแล้วก็คงจะดี ถ้าโลกเราจะเต็มไปด้วยไอ้พลังรู้สึกดีแบบนี้ลอยอยู่ทั่วๆไป ทั้งโลกทั้งคนคงจะมีความสุขมากขึ้นเยอะ ..


รอยยิ้มกับความห่วงใยมีคุณสมบัติพิเศษกว่าอย่างอื่นครับ นั่นคือถ้าเอามาแลกเปลี่ยนกันเมื่อไหร่ ปริมาณมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แตกตัวว่องไวเหมือน ตัวเกรมลินโดนน้ำ ....ยิ่งโดยเฉพาะถ้าเป็นมาจากคนที่เรารู้สึกดีด้วยแล้ว พลังนั้นก็เหมือนจะเห็นผลทันตาและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่า


เช่นนั้นแล้ว พวกเรามาทำตัว ให้เป็นคนน่ารักสำหรับผู้อื่นกันดีกว่า .. เพื่อว่าใครมาคุยกันเราเขาจะได้รับไวรัสความรู้สึกดีๆเขาไปในตัว ไวรัสแบบนี้ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวไม่ไล่จับหรอกครับ...ผมตั้งชื่อเจ้าไวรัสชนิดนี้ว่า "ไวรัสหมูน้ำ" แล้วกัน อย่างน้อยถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอมีรอยยิ้มบ้างก็ถือว่าคุณได้รับไวรัสหมูน้ำแล้ว ... อย่าลืมไปแพร่พันธุ์ต่อด้วยนะครับ

๒๕๕๑-๑๐-๑๗

วิชาแนะแนว

วันนี้ วันศุกร์ วันนี้เหงาๆ ฝนตกเบาๆ สมองๆมึนๆ...
วันนี้ตื่นสาย ที่ทำงานเงียบๆไม่ค่อยมีคน บางฝ่ายออกไปทำงานด้านนอก บางคนลาไปเที่ยว บางท่านกำลังเตรียมงานใหญ่นอกสถานที่ ตึกใหญ่ๆโตแห่งนี้จึงดูไม่คึกคักเหมือนทุกวัน ช่วงสัปดาห์นี้ว่างๆหยิบหนังสือ "พุทธประวิติสำหรับนักศึกษา"ฉบับเรียบเรียงโดยท่านพุทธทาสมาอ่าน วันละนิดละหน่อย เพลิดเพลินดี อ่านสนุกกว่าที่คิด ..

เมื่อคืนก่อนนอนดูทีวีพูดถึงวิชาแนะแนว ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ยังมีวิชาชื่อนี้อยู่บนโลกด้วย จะว่าไปก็นับเป็นวิชาที่ลึกลับพอควร เพราะจนป่านนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่า นิยามของวิชานี้คืออะไร และสอนเรื่องอะไรกันแน่ ตำราเรียนก็ไม่มี แบบฝึดหัด การบ้านก็ไม่ต้องทำ สบายดีแท้....ข้าพเจ้าจำได้ลางๆว่า สมัยมัธยมมีเรียนวิชานี้สัปดาห์ละครั้ง ยังจำหน้าอาจารย์ผู้สอนได้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเนื้อหาในแต่ละครั้งคืออะไร... ที่แน่ๆเวลาเรียนของวิชานี้มักถูกเบียดเบียนไปให้กิจกรรมอื่นๆของทางโรงเรียนเสมอ เช่นโรงเรียนมีงานเทศกาลอะไร หรือแข่งกีฬา หรือเชิญใครมาพุด หรือกระทั่งซ้อมหนีไฟ ก็ใช้เวลาของชั่วโมงแนะแนวนี่แหละ จนสรุปสุดท้ายจำได้ว่าได้เรียนวิชานี้ไม่กี่ครั้ง ช่างดูไร้ความสำคัญคล้ายเป็นเพียงลูกเมียน้อยคนที่ 7 ที่เกิดจากการลืมสวมถุงยางอนามัยของหลักสูตรการศึกษา!

ถ้าให้เดาจากชื่อวิชา จริงๆวัตถุประสงค์ก็คงเกี่ยวกับ แนะนำเรื่องการเรียนต่อล่ะมั้ง จะต่อมหาวิทยาลัย หรือสายอาชีพ หรือโรงเรียนทหาร ตำรวจ หรือต่างประเทศ คณะไหนเป็นยังไงบ้าง สอบเข้ายากไหม ต้องเรียนกี่ปี ต้องทำยังไงบ้าง คาดว่าน่าจะประมาณนี้กระมัง ถ้าเช่นนั้นวิชานี้ก็ควรได้รับความสำคัญมากกว่านี้ ก็การแนะนำอนาคตสำหรับหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยรุ่น มันมีผลกับชีวิตของเขาแทบทั้งชีวิตไม่ใช่หรือ?

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังมีวิชาแนะแนวอีกไหม แต่รู้สึกอยากกลับไปเรียนอีกเหลือเกิน เพราะคนเราก็เจอปัญหาอยู่เรื่อยๆ หนักๆเบาๆไปตามประสา แต่พอเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้แล้ว ทั้งที่ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอ และสับสนเป็นเหมือนกัน...

ว่าแล้วก็หยิบ"พุทธประวิติสำหรับนักศึกษา"มาอ่านต่อดีกว่า ... ข้าพเจ้าว่า แม้เราไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้ว แต่ก็คงพอเป็นตำราแนะแนวชีวิตได้บ้าง ในวันที่ดูเหงาๆกับเวลาห่างไกลความสุขเช่นนี้

๒๕๕๑-๑๐-๑๓

ไม่เอาน่ะเกรงใจ ไม่ดีหรอกเกรงใจ

...ได้รับการ์ดแต่งงานอีกแล้ว... พอย่างเข้าฤดูหนาว คนเราก็มักจะหาอะไรอุ่นๆกอด โดยเฉพาะหัวใจอุ่นๆ ที่อบด้วยกลิ่นของความรักหอมๆๆได้ที่ การมีคู่ทำให้คนเหงาน้อยลง บางคนว่าการหาคู่นั้นเป็นไปตามสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ของมนุษย์ .. แต่ข้าพเจ้าว่าหลายๆคู่ก็อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ค่อยได้สืบพันธุ์กันบ่อยนัก เอาเข้าจริงแล้วความต้องการหลีกหนีจากความเหงาต่างหาก ที่ทำให้คนเราจำเป็นต้องหาใครสักคนอยู่ด้วยกันทุกวันๆๆ

คนเราอยู่ด้วยกันนานๆก็สนิท พอสนิทมากๆก็ผูกพันธุ์ จากเพื่อนร่วมโลกปกติ มนุษย์บางคนจึงเลื่อนขั้นเป็นคนพิเศษสำหรับกันและกัน เป็นมนุษย์ข้อยกเว้นของกันและกัน เรื่องเดียวกันกับบางคนเราโกรธ แต่บางคนเราไม่โกรธ กับบางคนเราไม่ยอม แต่บางคนเรายอม... นี่คือข้อแตกต่างระหว่างความสนิท กับไม่สนิท

กระนั้นท่ามกลางความเพลิดเพลินในการเดินทางของความสนิทสนม บ่อยครั้งที่เราทำความเกรงใจหล่นหายไประหว่างทาง.. ทำให้บางทีเราโกรธกันทั้งที่ก็ยังไม่เข้าใจกันว่าโกรธทำไม ทำไมต้องโกรธ...สิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่เราคิดว่าเล็กน้อยไม่เป็นไร สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โต...

ถ้าข้าพเจ้าเกิดเป็นความเกรงใจ หลายๆครั้งคงนั่งน้อยใจ ที่คนเราบ้าเห่อแต่คุณความรัก .. โดยหลงลืมข้าพเจ้า ยิ่งรักกันเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายิ่งละลายหายไปเท่านั้น..
...
...
...
เมื่อวานข้าพเจ้าเพิ่งโดนมนุษย์ข้อยกเว้นคนหนึ่งตั้งคำถามว่า "มึงสนิทกับพวกกูมากไปรึเปล่าวะ"..
ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถามนี้ ไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้ แต่ไม่อยากตอบ
ข้าพเจ้ารู้เพียงแต่ว่า ท่ามกลางกว่า 6 พันล้านคนบนโลก สำหรับข้าพเจ้า มีมนุษย์แค่ไม่กี่คน..................... "ที่เป็นข้อยกเว้น"

๒๕๕๑-๑๐-๐๙

โรงหมอ...

? ทำไมเราไม่เรียกโรงพยาบาลว่า "โรงหมอ" ทั้งๆเวลาเราไม่สบายเราใช้คำว่า "ไปหาหมอ"??.. น่าตลกดีเราไปหาหมอที่โรงพยาบาล เราไม่ได้ไปหาพยาบาลที่โรงหมอ?..

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เมื่อวานบ่ายๆ หลังจากต้องนอนค้างที่ ร.พ.เป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยอาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร อาหารเป็นพิษ.. มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย ไปหาหมอตั้งแต่ 7 โมงเช้า กว่าจะได้ห้องพักก็ทุ่มพอดี เพราะคนเจ็บมากกว่าจำนวนห้องพัก ต้องนอนให้น้ำเกลือ และยาฆ่าเชื้อเข้าเส้นเลือดอยู่ในห้องฉุกเฉินทั้งวัน น่าเบื่อเสียนี่กระไร แต่ก็ได้มองคนรอบๆ บ้างกระดูกหัก บ้างเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด บ้างโดนรถชน บ้างโดนของร้อนๆลวก ... และอีกมากมาย

รอบๆตัวข้าพเจ้าส่วนมากมีแต่คนชรา ได้มองพลังชีวิตแก่ๆตามวัยที่พยายามจะดำเนินชีวิตต่อ ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น อาม่า อากง ทั้งหลายล้วนกำลังใจดี คุยเก่ง บางรายพูดไทยไม่ค่อยขัก แต่ลื้อก็ยังบอกพายาบังว่า ม่ายเปงลายๆๆ อั้วแค่กิงแจหนักปายหน่อย เลยม่ายมีแลง ม่ายล่ายกินเนื้อหลายวัน...

การรักษาในร.พ.ของข้าพเจ้าเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ได้รับบริการดูแลอย่างดี จากนางพยาบาลหลากวัยและความงาม แม้จะอายๆอยู่บ้างที่ต้องนุ่ง กกน.ตัวเดียวให้พยาบาลหมวยเล็กหมวยใหญ่เช็ดตัวให้ แต่นาทีนั้นข้าพเจ้าไม่มีแรงโต้แย้งใดๆ แม้ต่อให้พยาบาลหมวยบังคับให้ข้าพเจ้าเป็นแฟนด้วยก็คงมิอาจขัดขืน ..

สรุปว่านอนไป 1 คืน ให้ห้องคู่(พักร่วมกับอากงอีกท่าน) พักอย่างสงบก่อนจะตื่นมาใจไม่สงบเมื่อพบค่ารักษาว่าหมดไปร่วมเกือบ 12,000 บาท... โดยเป็นค่าห้องคืนละ 2,500 ที่เหลือเป็นค่าหมอ ยา และบริการอื่นๆ.. โอ้อนิจจา ข้าพเจ้าเพิ่งตระหนักถึงอำนาจแห่งเงินตราด้วยตาสว่างโร่...ก่อนกลับเหลือบไปดูอัตราค่าบริการห้องพัก ความตกใจในราคาแพงที่ข้าพเจ้าต้องจ่ายกลายเป็นแค่ขี้มด เมื่อตารางราคาสำหรับห้องพักเดี่ยว ต่อ 1 คืน แบ่งเป็น ห้องธรรมดา - ห้องพิเศษ - ห้องเดอลุกซ์ - ห้องVIP - ห้องExclusive - ห้องซูพีเรีย - ห้องสูท - และห้องSILK ...

โดยราคาห้อง SILK อยูที่คืนละ 13,500 บาท แถมห้องรับแขกและสวนหย่อมให้ด้วยนะเออ...
..
..
เฮ้อ......... "อโรคยา ปรมาลาภา" ...จริงๆหนอ

๒๕๕๑-๑๐-๐๖

ไฮโปคอนดริเอซิส

.......... ป่วย ........... เป็นไข้
สันนิษฐานว่าเพราะคืนวันเสาร์ ริวิ่งออกกำลังกายตอนกลางคืน หลังฝนตกหนักมาทั้งวัน หวังจะให้ร่างกายแข็งแรง แต่กลายเป็นว่าทำให้ตัวเองอ่อนแอซะนี่.... ชีวิตมักเป็นเช่นนี้ หวังอย่าง ทำอย่าง แต่ได้ผลอีกอย่าง ...

เมื่อวานได้แต่นอนซม กินยาแก้ไข หนาว ปวดไปทั้งตัว อยากอ้วกทั้งวัน ไม่อยากกินอะไรเลย... จนวันนี้ตื่นมาก็ยังเป็นอยู่แต่ดีขึ้น ปวดตามตัวน้อยลง หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมาก...

รู้สึกอ่อนแอ ทั้งกายและใจ.... อ่านหนังสือเจอว่า เราอาจเป็นโรควิตกกังวลไปเอง ภาษาฝรั่งเขาว่า ไฮโปคอนดริเอซิส อะไรสักอย่างนี่ล่ะ เขาว่าคนเป็นกันมากช่วง 20-30 และโรคนี้รักษาๆไม่หาย เป็นตลอดไป.....คนรอบๆต้องพยายามอดทนและเข้าใจ

... ฉิบหายแล้ว ทำไงดีล่ะนี่....
เฮ้อ... เอาน่ะ อย่างน้อย เราก็ยังโชคดีกว่าคนอื่นหลายเรื่อง จะแย่กว่าคนอื่นบางเรื่องบ้างก็ช่างมันเถอะ...
.. โลกนี้ยุติธรรมเสมอ....โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแบ่งปันความไม่ยุติธรรมให้กับมนุษย์ทุกคน อย่างเท่าเทียม ....?

๒๕๕๑-๑๐-๐๒

หมอตำแยเทวดา

.. หลายวันนี้พยายามทำอะไรคนเดียว... ในสิ่งที่อยากทำด้วยกันหลายคนแต่คนอื่นดันไม่อยากทำด้วย ยังไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็ว่าจะลองพยายามต่อไป.. ข้าพเจ้านึกถึงการทำงานร่วมกันด้วยจำนวนมนุษย์ขี้เหม็น 2 คนขึ้นไป บางทีก็เป็นเรื่องยาก บางทีก็เป็นเรื่องง่าย ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความคาดหวัง ถ้าเป็นเรื่องเล็กขี้มดแดงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆที่หวังผล.... การจะทำงานราบรื่นถูกใจทุกคนย่อมยากยิ่งนัก... โดยเฉพาะมนุษย์พันธุ์อารมณ์ศิลปิน

มนุษย์ศิลปินส่วนใหญ่ ชอบทำงานตามใจตัวเอง หรือยินดีร่วมงานเฉพาะกับคนที่คิดว่าพอไปกันได้ รสนิยมตรงกัน พวกคนที่คิดว่ารสนิยมแนวคิดไม่ตรงกัน จึงจัดเป็นมนุษย์เผ่าอื่นในสายตามนุษย์ศิลปิน ... ข้าพเจ้าเองก็เคยเป็นเช่นนั้น... จวบจนวันหนึ่ง มีมนุษย์ศิลปินคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า ทำไมกูคิดได้แต่แบบเดิมๆวะ กูอยากหนีออกไปจากความซ้ำซาก...
....
ข้าพเจ้าเองจัดเป็นคนหัวดื้อหือชนฝาเหมือนกัน แต่พลันนึกไปถึงตอนร่วมงานกับผู้อื่น หลายๆครั้งที่ข้าพเจ้ามีความคิดเข้าท่า แต่ยังไม่เข้าที ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นมีความคิดเข้าที แต่ไม่เข้าท่า (เพื่อนร่วมงานเหล่านั้นล้วนถูกจัดเป็นเผ่าอื่นในสายตาข้าพเจ้าเพราะความคิดไม่ตรงกันหลายเรื่อง) พอสบโอกาสได้แบ่งกันดู Ideaของกันและกัน พลันก็เกิดการปฏิสนธิทางปัญญา .. "เอาส่วนนี้ของเธอมาผสมส่วนนี้ของฉันก็น่าจะดี" ... "นี่ไงเอาโครงตรงนี้แบบเธอ แต่เพิ่มลายของฉันเข้าไป"...."เออจริงด้วย" ... "อืมเข้าท่าเข้าทีแฮะ" ...

แม้จะยังมีส่วนที่ขัดหูขัดตาไม่ตรงกันบ้าง แต่อย่างน้อยการปฏิสนธิของมนุษย์ต่างเผ่า ก็ได้ทำคลอดสิ่งๆหนึ่งออกมา นั่นก็คือ"Ideaใหม่ๆ"...
สิ่งที่ไม่ว่าหมอตำแยเทวดาก็ ก็ไม่อาจทำได้ ถ้ายังถูกปิดกั้นโอกาสด้วยทัศนคติที่ว่า"กูว่ามึงคนละแนวกับกูว่ะ"

..... "บางทีการผสมพันธุ์กับคนที่เราไม่คิดว่าเข้ากันได้ก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจเหมือนกัน .. ลองดูพวกลูกครึ่งสิ สวยๆหล่อๆกันทั้งนั้น แล้วทำไมเราจะสร้าง Idea สวยๆบ้างไม่ได้ล่ะ"

......วันนี้อยากส่งเสียงบอกมนุษย์บางคนรวมถึงตัวข้าพเจ้าเองด้วยว่า..... "มาลองเป็นหมอตำแยกันเถอะ" .............

๒๕๕๑-๐๙-๒๙

คนไฟมอด

.. วันนี้ฟ้าสว่างดี สายลมพัดกำลังพอเหมาะ ไม่พัดโบกแรงฟู่ๆกระหน่ำหน้าต่างจนต้องตื่นนอนแบบตลอดสัปดาห์ก่อน... ไม่ชอบลมแรงเลย มันดูน่ากลัวพิกล เหมือนมันโกรธอะไรอยู่..

มาทำงาน เบื่อกับแผนกข้างเคียง ที่ไม่ยอมคิดอะไรเพิ่มเติมเอง อยากได้อะไรให้เราหามาให้ งาน 100% รอให้เราทำไปให้ซะ 70 % แล้วค่อยคิดต่อ ก็เข้าใจอยู่ว่า เขาคงเบื่อระบบที่ทำแล้วต้องแก้แล้วแก้อีก คิดจนสมองบุบหลายๆรอบก็ไม่ผ่านซะที แต่การแก้ปัญหาโดยไม่คิดแล้ว ให้พวกเอ็งคิดมาจนเกือบเสร็จเลยละกันฉันค่อยมาทำต่อจะได้ไม่ต้องแก้เยอะ มันก็ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีนะ ... ก็เข้าใจทุกฝ่าย ... มันก็มีการเบื่อจนไฟมอดกันบ้าง

ข้าพเจ้าเองก็ไฟมอดไปมาก ถ้าเทียบตอนทำงานใหม่ๆ ร้อยแรงเหมือนไฟประลัยกัลป์เผาเขาพระสุเมรุได้ทั้งลูก ผ่านไป 7 ปี ตอนนี้ก็คงกลายเป็นไม้ขีดชื้นๆที่เสือกเปียกน้ำจนจุดไม่ค่อยติดอีกตะหาก แรงกระตุ้นรอบได้ไม่มีเลย ทั้ง คนร่วมงาน ทั้ง เงินร่วมกระเป๋าตังค์.. หลายๆครั้งที่ไม่ค่อยทุ่มเทเท่าไหร่นัก ของแบบนี้ปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ๆ ต้องการทางกระตุ้นต่อมมืออาชีพของตนเองซะหน่อย ส่วนจะโดยวิธีทางใด ก็ต้องคิดกันอีกที

ขึ้นชื่อว่างาน ว่าทำเป็นอาชีพ.. อย่างน้อยเวลาที่คนหยิบผลงานของเราขึ้นมามอง ก็อยากให้ด้วยสายตาชื่นชมมากกว่าเย้ยหยัน...
ถึงเราจะเป็นเพียงฟันเฟืองขี้ปะติ๋ว ที่อยู่หลืบในของชิ้นงานนั้น แถมมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีก...เราก็ควรยิ้มให้ตัวเองได้ เมื่อชิ้นงานออกมา...

แม้ว่า "เงินเป็นของคนอื่น.....แต่ความภูมิใจ...เป็นของเรา"

๒๕๕๑-๐๙-๒๗

ไม่ Rock แล้วหรือ?

.. หวังว่าจะได้ไปซ้อมดนตรีวันนี้ เมื่อคืนอุตส่าห์นั่งฝึกหลายชั่วโมง แต่ก็ล้มเลิกจนได้.. อุปกรณ์ไม่พร้อม คนไม่พร้อม ก็เลยสรุปได้ไปซื้อที่วางไมค์กับเพื่อนที่เวิ้ง...
....
ได้คุยกับเพื่อนที่บ้าดนตรีกันมาตั้งแต่มัธยม.. มีแต่ข้าพเจ้าที่ยัง Rock อยู่ จนแก่.. เข้าตำรา... "ฟังเพลง Rock เป็นหลัก เพลงรักเป็นรอง" .. ส่วนเพื่อนของข้าพเจ้า มันไม่ค่อยชอบเพลง Rock แล้ว มันว่า กูฟังจนเบื่อแล้วอยากฟังอะไรที่ไม่เคยฟัง อยากฟังเพราะๆ.. ไม่รู้ว่าเพราะมันไปเรียนดนตรีเป็นเรื่องราวจริงจังถึงสถาบันระดับโลกเมืองมะกันรึเปล่า.. จาก Rocker มันจึงกลายเป็น Musician เสียมากกว่า.. ข้าพเจ้าเซ็งเล็กน้อย เพราะเมื่อคนหนึ่งอยากซ้อมเพลงแนวหนึ่ง คนหนึ่งอยากเล่นอีกแนว มันย่อม ไม่ค่อยสุขสมใจนักแน่ในการรวมกันเล่น... ออกมาคงมั่วๆ คนหนึ่งนั่งแกะให้เหมือนที่สุด อีกคนจำได้ลางๆ แต่ไม่ฝึกเพราะไม่ชอบ จะมั่วๆเอา นึกไปนึกมา เล่นไปคงล่มๆลุ่มๆดอนๆ....

.....กระนั้นก็น่าจะสนุกดี ... เพราะอย่างน้อยก็ได้เล่นดนตรีร่วมกัน ข้าพเจ้าเริ่มนึกไปถึงการแตกแยกวงของวงดนตรีดังๆต่างๆ ที่มักให้เหตุผลว่า ทัศนคติทางดนตรีไม่ตรงกัน... เออ..มันคงเป็นประมาณนี้นี่เองเพียงแต่พวกนั้น Ego จัดเกินกว่าจะยอมรับในส่วนต่างของคนอื่นๆ

ใครใคร่จะชอบอะไรก็ชอบไปเถิด.. แบ่งๆกันชอบก็คงเป็นทางออกที่ดี.. เล่นแบบกูชอบบ้าง แบบมึงชอบบ้าง.... เล่นได้บ้าง ล่มบ้าง.. จะเพราะรึไม่เพราะ อย่างน้อย...
..
"มันก็ยังพอมีเสียงมิตรภาพดังออกมาจากหัวใจ"

๒๕๕๑-๐๙-๒๖

...อ้วก...

จริงๆมีเรื่องยาวๆจะเขียน....แต่วันนี้คงไม่เหมาะ
..
ร่างกายปั่นป่วน อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไปทำงาน แต่กลับไปไม่ถึง จอดรถอ้วกข้างทาง 2 รอบ... คาดว่าเพราะความเครียดกังวล ไม่อยากไปทำงานที่เพชรบุรีพรุ่งนี้ (การไปทำงานวันนี้จะทำให้รู้ว่าต้องไปทำงานไกลๆ ตจว. พรุ่งนี้รึเปล่า) ... ร่างกายไม่พร้อม...ใจไม่พร้อมกว่า ปกติเวลาเครียดเคยแต่จะอ้วกแต่ไม่อ้วกจริงๆ .. แต่วันนี้มันก็ออกมา ส่นหนึ่งอาจเพราะเพิ่งหม่ำข้าวไป... อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ไปทำงาน

เลี้ยวรถกลับไปบ้านเพื่อน เอาเบสมาเล่นดึ่งๆๆแกะเพลงไปพลางแก้เครียด...
อาการข้าพเจ้าอาจหนักกว่าที่คิด.....
หรืออาจเบาที่ที่ตนเองกังวล....
ไม่อาจรู้ได้

มองเห็นพ่อเพื่อนสุดแข็งแรงยิ้มแย้ม คุณป๋าคนนี้มักมีความคิดแปลกๆบางคนก็มองว่าแกเพี้ยนๆนิดๆ อย่างไรก็ตามที่แน่ๆ หน้าแกมีแต่รอยยิ้มเสมอ หัวเราะทั้งวัน แม้จะอายุ 60 แล้ว .. แกว่าไม่มีอะไรมาชนะแกได้ อันไหนที่ กังวล เครียด ไม่ชอบ แกไม่เอามาคิด ไม่ให้เข้ามาในใจแก... แถมแกยังออกกำลังกายทุกวัน ตีลังกาห้อยหัวยังทำได้เลย(เห็นมาแล้ว) แกอ่านหนังสือพวกจิตวิทยาแยะ ล่าสุดถึงกับจะเขียนเองแล้ว ..แกตั้งชื่อหนังสือว่า "วิ่งสมาธิ"
...
..
ถ้าสำเร็จ ข้าพเจ้าซื้อแน่นอน และจะขอลายเซ็นต์แกด้วย .. คุณป๋าอารมณ์ดี

๒๕๕๑-๐๙-๒๒

To Live Is To Die ...


ตอนเด็กๆข้าพเจ้ารัก"มนุษย์แม่"มาก..."มนุษย์แม่"ไม่อยู่ก็ร้องไห้.."มนุษย์แม่"หายไปก็ร้องหา .."มนุษย์แม่"มารับที่โรงเรียนช้าก็น้ำตาคลอ..

พอเป็นวัยรุ่นสิ่งสนุกสนานและน่าเรียนรู้ในชีวิตทำให้ข้าพเจ้าสนใจ"มนุษย์แม่"น้อยลง ไปสนใจ"มนุษย์เมีย"มากกว่า..วันไหน"มนุษย์แม่"ไม่อยู่บ้านยิ่งร่าเริงร้องลั้นลาๆ.. แต่ถ้าทะเลาะกับ"มนุษย์เมีย"มากลับน้ำตาซึม ...

ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกรัก"มนุษย์แม่"กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อาจจะพอเดาได้ว่าเริ่มเข้าข่ายกลุ่มอาการ "ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตเอ๊ฟเฟ็ค" คือปรากฏการณ์ที่ได้เรียนรู้แล้วว่า ยิ่งเวลาผ่านไป โอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกันบนโลกก็น้อยลงไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เราหายใจเพื่อมีชีวิต นั่นคือนับถอยหลังชีวิตของเราลดน้อยลงไปเรื่อยๆ....อย่างที่ฝรั่งเขามีสำนวนว่า "TO LIVE IS TO DIE".. ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า"มนุษย์แม่"จะอยู่กับข้าพเจ้าอีกนานเท่าไหร่..

"มนุษย์แม่"มักมีความคิดที่เราเข้าไม่ถึง .. หรือลืมที่จะเข้าถึง เป็นความสามารถพิเศษที่มีเพียง"มนุษย์แม่"เท่านั้นจะทำได้เสมอๆ..
วันก่อนตอนเย็นๆข้าพเจ้ารับโทรศัพท์จากน้าสาว นึกแปลกใจเนื่องด้วยปกติไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ .. แต่แล้วปริศนาก็กระจ่าง น้าสาวโทรมาเพียงแค่บอกข้าพเจ้าสั้นๆว่า... "แม่เราเขาให้โทรมาบอกว่า เขาลืมโทรศัพท์ไว้ที่ทำงาน ถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรเข้าเครื่องน้านะ"...... ทั้งๆที่เหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมงข้าพเจ้าก็จะกลับบ้าน แต่"มนุษย์แม่"ก็ยังอุตส่าห์คิดถึงและเป็นห่วงข้าพเจ้าหากมีเหตุอะไรไม่ปลอดภัย.... เป็นความคิดที่หากเป็นตัวข้าพเจ้าเองคงไม่ทำแบบนั้น ถ้าลืมโทรศัพท์ก็คงจะไม่อุตส่าห์ถ่อไปฝากข้อความกับใคร ก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ...

วันเหยุดคือวันพักผ่อน..และเมื่อถึงเสาร์อาทิตย์ ข้าพเจ้าก็มักหยุดพักอยู่กับบ้านปวารณาตนเป็นอัครสาวกของตัวขี้เกียจ.. ไม่ทำอะไรให้เปลืองแรงทั้งสิ้น กว่าจะตื่นมาก็บ่ายๆ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังหิวและดูที่โต๊ะอาหารว่ามีอะไรบ้าง เสียง"มนุษย์แม่"แว่วๆมาข้างหลังบอกว่า "มีแต่ไก่ย่างที่ซื้อมาเมื่อกี้นี้ กินไปก่อน.. ถ้าถ้าจะกินก๋วยเตี๋ยวหลอดก็รอแป๊ปนึง แม่ยังไม่ว่างทำ กำลังทำงานอยู่".....

ภาพแม่กำลังซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ เตรียมของขาย เย็บกางเกงที่ขาดให้ ลอยเข้ามาในหัวข้าพเจ้า ... แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ปริมาณงานที่ข้าพเจ้าทำได้หมดในวันเดียว....
ข้าพเจ้าตระหนักเดี๋ยวนั้นเองว่า ขณะที่ผู้คนมากมายบนโลกหยุดพักในวันหยุด.. "มนุษย์แม่"ยังคงทำงานหนักอย่างไม่มีวันหยุดพัก..โดยเฉพาะงานที่ท่านรักจะทำมาร่วมเกือบ 30 ปี .. "งานดูแลลูกๆ"....
.......
ข้าพเจ้ากินไก่ย่างไป พลางเสียบหูฟังเปิดเพลง "To Live Is To Die" ของคณะ Metallica ฟังอีกครั้ง ...
แปลกใจเหลือเกินว่า ไฉนเพลง Speed Metal สุดโหดเหี้ยมรุนแรงดุดันก้าวร้าว... จึงทำให้ข้าพเจ้าน้ำตาคลอ.....

๒๕๕๑-๐๙-๑๘

โอ.........ชีวิตของข้าพเจ้ามีเสน่ห์เหลือเกิน ...

... โลกนี้ มีคำถามมากมาย และตรรกกะแปลกๆอยู่เสมอ....

... ทำไมหลังจากเราซักผ้าหรือล้างรถ ฝนจะชอบตก? ...
... ทำไมของที่จะใช้มักหาไม่เจอ และจะมาอยู่ต่อหน้าเสมอเวลาที่ไม่ต้องการใช้? ...
... ทำไมกินขนมของเพื่อนจะอร่อยกว่าเราซื้อเองเสมอ? ...
... ทำไมเวลาต่อคิวจ่ายเงิน แถวอื่นมักขยับไปเร็วกว่าแถวเรา? ...
... แต่ถ้าเราเปลี่ยนแถว แถวเดิมของเราจะเร็วกว่าทันที? ...
... ทำไมความตั้งใจลดความอ้วนจะมากที่สุดหลังกินเสร็จไปแล้ว และจะน้อยลงตอนหิวมากๆ? ...
... ทำไมแฟนเรามักสวย/หล่อน้อยกว่าแฟนคนอื่น? ...
... ทำไมคนที่รักเราเรามักไม่ได้รัก? ...
... ทำไมคนที่เรารักมักไม่รักเรา? ...
... ทำไมเรามักลืมสิ่งที่ตั้งใจจะจดจำ แต่กลับจำได้แม่นในสิ่งที่ต้องการจะลืม? ...

มีคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า นี่คือกฎของความไม่สมหวัง.... นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต ...
เพราะมันทำให้ มนุษย์ ร้องไห้ได้ หัวเราะเป็น และเฉยๆเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง....
........
โอ.........ชีวิตของข้าพเจ้ามีเสน่ห์เหลือเกิน ...

๒๕๕๑-๐๙-๑๕

SUPER BAND OF GOD

... ในคืนวันศุกร์และเสาร์ ข้าพเจ้ามักจะนอนดึกเป็นพิเศษ .. อันที่จริงควรจะบอกว่าเช้าต่างหาก เวลาประมาณ ตี 4 กว่าถึง เกือบ 6 โมงเช้านับเป็นเวลาที่สงบสุขและน่าสนใจมากสำหรับข้าพเจ้า มีกิจกรรมหนึ่งที่มักทำเป็นประจำก่อนนอน นั่นคือการดู TV

เป็นช่วงเวลาพิเศษที่ข้าพเจ้าดู TV แบบโรเตชั่น นั่นคือดูช่องละนิดละหน่อยแล้วกดเปลี่ยนช่อง วนไปวนมาแบบนี้ อันที่จริงมองเผินๆเหมือนน่าปวดตาปวดหัว แต่สำหรับข้าพเจ้านั้นสนุกอย่างมาก เนื่องด้วยช่วงเวลาชั่วโมงกว่าๆนั้น เป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่มีรายการศาสนาให้ดูพร้อมกันทั้ง 3 ศาสนา !!.. ช่องนึงเป็นรายการธรรมมะชของพุทธ อีกช่องเป็นรายการความเชื่อในพระเจ้าศาสนาคริสต์ และอีกช่องเป็นหลักคำสอนของอิสลาม (ส่วนอีก 3 ช่องที่เหลือเป็น รายการขายไม่ขนไก้ไฟฟ้า - สาหร่ายสไปรูลิน่า - และเครื่องออกกำลังกายตระกูลแอ๊บ ตามลำดับ)

เวลาดูรายการศาสนาทั้ง 3 รู้สึกสนุกและแปลกดี จิตใจมันสงบนิ่งสำรวมแต่สมองกลับกระตือรือร้นรับข้อมูล ศาสนานั้นพูดเรื่องนี้ ศาสนานี้พูดเรื่องนั้น บางอย่างก็คล้ายกัน บางอย่างก็ไม่เหมือน แต่ที่เหมือนกันมากคือ สีหน้าของศาสนิกชนต่างๆ ที่เชื่อมั่นและมีความสุขกับสิ่งที่ตนเองเชื่อ พูดออกความเห็นด้วยรอยยิ้มและความปราถนาดี..จริงๆแล้วข้าพเจ้าเองตามทะเบียนราษฎ์นั้นเป็น คริสตศาสนิกชน แต่ในชีวิตข้าพเจ้าก็ศึกษารับฟังทุกศาสนา แถมเข้าวัดพุทธกราบพระทำบุญและโหลดฟังเสียงเทศน์ท่านพุทธทาสเสียอีก ก่อนนอนก็สวดมนต์ทั้งแบบคริสต์และพุทธ จะว่าโลภสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงได้มั้ง ก็ในเมื่อทุกองค์ศักดิ์สิทธิ์และสอนให้เราทำดี ทำไมจะต้องกีดกันศาสนาอื่นด้วยล่ะ ส่วนตัวข้าพเจ้ามีความเชื่อแต่เด็กแล้วว่าบนสวรรค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์เป็นเพื่อนกัน มนุษย์เราต่างหากที่งี่เง่ามาแบ่งแยกเข่นฆ่าพวกกูพวกมึงอย่างโง่ๆทุกวันนี้ ..

บางทีตายไปเราอาจได้เห็น Super Band ที่พระเยซูเล่นกีต้าร์ - พระพุทธเจ้าตีกลอง - พระอัลเลาะห์เล่นเบส โดยที่พระเจ้าศาสนาอื่นๆเป็นคอรัสก็เป็นได้ แล้วเชื่อเถอะว่า พวกท่านทั้งหมดนั้น จะบรรเลงดนตรีที่เพราะยิ่งกว่าสรรพเสียงใดๆออกมา .... โดยที่รอพวกเรา มวลมนุษย์ผลัดกันขึ้นไปเป็นนักร้องนำ เพื่อขับร้องถ่ายทอดเนื้อหา ในสิ่งที่พวกท่านทรงสอน แก่เพื่อนมนุษย์คนอื่นๆต่อไป

...... เชื่อเถอะว่า มันต้องเป็นบทเพลงที่เพราะที่สุด ......

๒๕๕๑-๐๙-๑๒

หมูหล่อ

วันนี้นับว่าโชคดี จากกำหนดการเดิมต้องออกทำงานนอกสถานที่ 3 วันติด ตั้งแต่เมื่อวาน แถมวันนี้เช้ามืดตี 3 ต้องไปเพชรบุรี ทั้งที่สภาพกายใจยังไม่พร้อม... เหมือนฟ้ามาโปรด กลายเป็นทำงานเมื่อวานถึงดึกๆ วันเดียว ส่วนการไปเพชรบุรีเลื่อนหนีฝนออกไป 2 สัปดาห์....

จริงๆแล้วงานก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าพเจ้าเลย มันเป็นงานที่เข้าตกลงเสร็จสิ้นกันไปหมดแล้วจากทีมงานฝ่ายอื่นๆ และก็มีคนไปดูแลงานนี้อยู่แล้ว แต่ก็ข้าพเจ้าก็ยังต้องเสนอหน้าไปให้ซ้ำซ้อนโดยไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรเสียหน่อย ไปเป็นตัวเกะกะเสียหน่อย ไปเป็นส่วนเกินเสียหน่อย ไปง่วงไปเมื่อยไปรถติดไปผลาญพลังงานและเวลาโลกเสียหน่อย..........

แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้การทำงาน เนื่องด้วยลูกค้ารายนี้เป็นชาวญี่ปุ่น เห็นได้ชัดกับการตรงต่อเวลาของเขา มาก่อนเวลาเสียด้วยซ้ำ ส่วนทีมงานไทย คนหนึ่งสาย 1 ชั่วโมง อีกคนสาย 2 ชั่วโมง และอีกคน สาย 3 ชั่วโมง ตามลำดับ.... แม้เช้านั้นจะรถติดมากมายมโหฬารจริงๆ เนื่องด้วยฝนที่ตกตลอดคืน น้ำท่วมและอุบัติเหตุหลายแห่ง ทีมงานหลายๆคนก็สาย.... แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรเพราะคำถามที่ยากจะหาคำตอบว่า "แล้วทำไมญี่ปุ่นไม่สาย?".... หรือจะว่าญี่ปุ่นเหาะได้ก็คงไม่ใช่ -_-"

หลังตัดผมและเปลี่ยนแว่นใหม่ มีคนทักว่าหล่อขึ้น พอๆกับทักว่าอ้วนขึ้น.....
..
"เอ่อ..... ไม่เคยเห็น หมูที่หล่อที่สุดในโลกกันรึไงฟะ ไอ้พวกนี้นี่..." -_-"

๒๕๕๑-๐๙-๑๐

ฮวงจุ้ย...อูย....เครียด

... อาจเพราะอานิสงค์กรรมชั่วที่ข้าพเจ้าได้กระทำ สุขภาพจิตยังคงตกต่ำย่ำแย่ ผลพวงจากคำทำนายแม่หมอพลังจิตที่ให้ไว้เมื่อ 3 วันก่อน ข้าพเจ้าคิดมากเสียจน อ้วก ในบางเวลา (จริงๆเป็นอาการที่มีแนวโน้มอยู่ก่อนแล้ว จากความเครียดจิตตกอื่นๆ)...

เมื่อวานไม่ได้เข้าออฟฟิศ ไปเอาเปลี่ยนเลนส์แว่นที่ Central ก็เลยถือโอกาสเข้าร้านหนังสือเสียหน่อย เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าใช้เวลาในมุม "โหราศาสตร์"มากกว่ามุมอื่นๆ ลองค้นคว้าหาอ่านทั้ง ฮวงจุ้ย เลข 7 ตัว ไพ่ ยิปซี ลัคนา ราศี สุริยจักรวาล และอะไรต่างๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งมึน ยิ่งมึนก็ยิ่งอยากอ้วกซ้ำ.. โดยเฉพาะไอ้การคำนวณผ่านวันเวลาเกิดนี่ คนละสูตร ก็ได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันอีก ทั้งที่ไอ้คนเกิดมันก็คนเดิม เวลาเดิมคือข้าพเจ้า...

ลองหันไปหาเรื่อง"ฮวงจุ้ย"ดูบ้าง โอตะละแม่กุสุมา ห้องนอนข้าพเจ้าผิดหลักโดยแท้ ต้องย้ายทั้งเตียง ทั้งกระจก ทั้งตู้เก็บของ ตู้เสื้อผ้า แถมต้องปิดหน้าต่างในบางด้านอีก .... ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิด ทำไมกูต้องลำบากลำบนขนาดนี้วะ?... เตียงไม้โบราณเฮฟวี่คิงไซส์ ขนาดต้องใช้นักมวยปล้ำอาชีพ 3 คนในการย้ายแบบนี้ข้าพเจ้าจะให้ใครช่วย แถมกฏบางข้อก็ไม่รู้จะแก้ยังไง ย้ายเตียงหลบประตู ก็ไปตรงใต้แอร์ จะย้ายหลบใต้แอร์ก็หัวดันชนหน้าต่าง จะย้ายหนีหน้าต่างก็ดันหันเข้าส้วม........................... ในบางอารมณ์วาบความคิดส่งเสียง "ตกลงถ้ากูนอนเสื่อชีวิตคงดีขึ้นใช่ไหมเนี่ย?"

หลังมึนๆกับเทพธิดาพยากรณืหลายศาสตร์สักพัก ก็แวะเข้ามุมธรรมมะ... พบว่าสงบกว่ากันมาก ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้สติว่า เออหนอ จะแก้เคล็ดพิธีกรรมทั้งหลายทั้งปวงนอกตัวเราไปทำไม จะลำบากทุบบ้าน ทรงเจ้า บำเพ็ญอะไรแปลกๆไปทำไม แก้ที่ตัวเราเองไม่ดีกว่าหรือ.... ละชั่ว เจริญสติ สมาธิ สร้างกรรมดี บารมีผ่องแผ้ว ให้มันดี ก็น่าจะพอเปล่งรังสีออร่าแผ่ออกมากัน ไอ้พลังชี่ พลังจักรวาล พลังมารทั้งหลายได้ โดยไม่ต้องไปยุ่งยากอะไร.....
...
ให้มันรู้ไปสิวะ ว่า ถ้าทำหมั่นเจริญสติ ทำเรื่องดีๆ แล้วชีวิตมันยังจะบรรลัยจักร จนต้องไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนวันเกิด ทุบบ้าน ย้ายห้องเตียง ตู้ ห้องนอนใหม่
....
เว้นว่าข้าพเจ้าจะมีเพื่อนสนิทเป็น นักมวยปล้ำอาชีพสัก 2- 3 คนนะ อันนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าไม่มี..กูปูเสื่อเอาก็ได้วะ -_-"

๒๕๕๑-๐๙-๐๘

....โอมๆๆๆๆๆๆๆๆ....

...ล่องนาวา ทำบุญ 9 วัด ด้วยแว่นใหม่.... ไม่เมาเรือ ไม่เมาแว่น แต่ เครียด!!...

ตื่นแต่ตี 5 นอนไม่หลับ ได้นอนจริงๆประมาณ ช.ม.กว่าๆ เป็นเรือใหญ่จุคนได้เกือบ 300 หรูหราโอ่อ่ากับสาธุชนหน้าตาหวังอิ่มบุญเต็มลำ... เขาว่าปัญหามา ปัญญามี แต่บางทีก็งงงงกับเจตนา ด้วยระบบการจัดการที่ไม่ดี ผู้ใจบุญทั้งหลายก็แย่งเก้าอี้แย่งโต๊ะนั่งในเรือกันตั้งแต่ก้าวแรก ฉันนั่งตัวนี้ ฉันไม่มีโต๊ะ ฉันจองตรงนี้ ฉันแขก VIP ฉันมาสายอาจารย์อู๊ด แต่ฉันก็สายอาจารย์ช้างน้อย เอ๊ะฉันก็ใช่ย่อยเป็นแขกอาจารย์ธนสุนทร... ไม่มีใครยอมใคร แย่งกันประชดประชันเหน็บแนม...ข้าพเจ้าฟังไปยิ้มไป เริ่มหูตาลายมองเห็นก้อนบุญลอยหนีลงเรือไปโน่นแล้ว...

ไม่ต้องแปลกใจที่ทั้งเรือเต็มไปด้วย เหล่าครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพราะ Tripนี้ จัดโดยสมาคมโหราศาสตร์ไทย มองไปทางไหนก็มีแต่กองทัพพ่อหมอแม่หมอ แถมทุกแขนง ทั้งดูเลข 7 ตัว วันเดือนปีเกิด พลังจิต ไพ่ยิปซี ไพ่โฮทจั๊ต เลขบัตรประชาชน และอีกมากมายมหึมามหาศาล... ตัวข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้ดูหมอพลังจิตกับเขาด้วย ก่อนดูมีเรื่องไม่สบายใจอยู่แล้ว หลังดูยิ่งไม่สบายใจ 10 เท่าทวีคูณ ไอ้หยา ถ้าลื้อไม่ซี้ซั้วต่าแบบนี้อั๊วก็ซี้เลี้ยวหวา...ทายมาหนักหนาสาหัสทำเอาใจหดเหลือเท่าตดมดดำ -_-" เก็บมาคิดมากจนเกือบอ้วก..แบบนี้ไม่เรียกเมาเรือ แต่เป็นเมาหมอ.. ได้แต่ปลอบใจตัวเองด้วยคำท่านพุทธทาสที่ว่า ให้อยู่กับปัจจุบันอย่าไปฟุ้งซ่านอดีต อนาคต.. -_-"

ตลอดการเดินทางไม่รู้สึกอิ่มบุญเท่าไหร่นัก อาจเพราะบรรยากาศเร่งๆคล้ายคณะไกด์ทัวเกาหลีมากกว่า ลงเหยียบวัดไม่ทันจุดธูป ก็ได้เวลากลับขึ้นเรือแล้ว ข้าพเจ้าฉงนเหลือเกินหว่า การจำใจกราบไหว้ปะหลกๆสปีดอัพ แบบไม่ทันได้สวดมนต์จบบทแบบนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะฟังทันไหมหนอ....

Hi-Light สุดยอดของขบวนคือ ท่านครูบา ที่มาจากแม่ฮ่องสอน เพิ่งลงจากเขาออกจากถ้ำบำเพ็ญตบะมาหมาดๆ นับเป็นบุญญาวาสนาทองนักหนาที่ท่านจะมาทำพิธีเสกให้ น้อยคนที่จะได้แบบนี้ ขั้นตอนก็คือให้สวดอะไรสักอย่าง 9 จบ แล้วเข้าไปหาท่านจะเอาบาตรทูนไว้บนหัวเราแล้ว ท่องคาถาโอมๆ เสกๆ โน่นนี่ๆๆ ส่งพลังผ่านวูบๆมาเข้าร่างกายเราให้เจริญก้าวหน้า... ถึงคิวข้าพเจ้าและเพื่อนคลานเข้าไปคุกเข่าพนมมือ ท่าถามว่าข้าพเจ้าทำงานอะไร ก็บอกไปว่าด้านบันเทิง ท่านก็ทักว่าข้าพเจ้าช่างเหมือน พี่ฟอร์ดสบชัยยิ่งนัก แล้วก็ร่าย โอม$&*&ๆๆๆ อะไรสักอย่าง แล้วก็บอกว่า เทพบันเทิงๆๆจงมา ........ ฟังดูแหม่งๆ แต่ก็ยังไม่เท่าไร จะขำก็ไม่กล้า แต่ว่าปวดขาโคตรๆแทบตะคริวกิน คิวต่อไปสิเด็ด...

เพื่อนรักข้าพเจ้าทำงานด้านดนตรี บอกไปว่าเป็นนักดนตรี เล่นกีต้าร์ ครูบาท่านก็ร่าย โอมๆๆๆๆ $%&$...คาถาของท่านแล้วแทรก โอม เทพกีต้าร์ เทพเจ้ากีต้าร์จงมาๆ ดีดไปเสียงดังกังวานไกล ดีดไปใครได้ยินให้หลงใหลๆๆๆ...โอมๆๆ......นะโมพุทธทายะ....

ไม่ได้ไม่เชื่อ ไม่ได้ลบหลู่ใดๆ ...... แต่วินาทีที่ข้าพเจ้ากลั้นหัวเราะสุดชีวิตนั้น ...เอ่อ...... ข้าพเจ้ากำลังนึกถึงหน้า.....
JIMI HENDRIX !!!

๒๕๕๑-๐๙-๐๖

แก๊งค์วัยรุ่น...

... มึน งง ง่วง เวียนหัว จะอ้วก....

หลังจาก เมื่อวานซืนตัดผมสั้นจู๋จี๋.. จากยาวเป็นสั้น วันนี้ก็ได้ฤกษ์ ตัดแว่นใหม่... วัยรุ่นสุดขีดคั่น แต่ด้วยเลนส์ที่สายตาสั้นเพิ่มทำให้ขณะนั่งพิมพ์อยู่นี่ ยังมึนงงมาก มองอะไรกะระยะไม่ค่อยถูก เอื้อมมือไปหยิบของเหมือนว่าจะถึงแต่ก็ยังไม่ถึง กว่าจะขับรถกลับบ้านได้เล่นเอาวิงเวียนนัก...หวังว่าอาการจะดีขึ้น เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าล่องเรือ ถ้าเมาเรือ + เมาแว่น คงดูไม่จืด...

ช่วงนี้ใช้เงินมากมายในการเปลี่ยนแปลง... ตัดผมสั้น หาทรงไม่ได้ ก็ต้องซื้อ Wax มายี่กบาลให้ยุ่ง พุ่งๆ ชี้ๆ เข้าไว้เหมือนไฟไหม้ป่าสงวน คนที่ทำงานเห็นถึงกับตกใจ ไหนจะตัดแว่นใหม่อีก รองเท้าใหม่ รวมๆ โมดิฟายตัวเองไปเกือบหมื่นได้... เพื่อกลายร่างเป็น "แก๊งค์วัยรุ่น"ทำงานวงการบันเทิงทั้งที ก็อัพเดทแฟชั่นติงต๊องกับเขาดูซะหน่อยแล้วกัน อย่างน้อยก็ถือว่าเรียนรู้....อะไรไม่เคยลองก็ทำดู....

หลังจากเพื่อนเสียชีวิตไปหมาดๆ ก็ได้เข้าใจว่าชีวิตนั้นสั้นนัก เพราะฉะนั้น ก่อนจะแก่ ก่อนจะตาย ลองทำตัวเป็น "แก๊งค์วัยรุ่น" ดูเสียหน่อย ก็น่าจะสนุกดี.. เหอๆๆๆๆๆ

ถ้าไม่อ้วกแตกพรุ่งนี้ก่อนน่ะนะ...แว่นอะไรวะ ทำหล่อเวียนหัวซะได้.... -_-"

๒๕๕๑-๐๙-๐๓

....................................

... เมื่อคืนก่อนมีคนตาย... มีคนบาดเจ็บ .....คนไทยฆ่ากันเอง... ช่างสิ...ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจเลย...
เพราะข้าพเจ้าเศร้ามาก่อนหน้านั้นแล้ว... มีคนตายก่อนหน้านั้นแล้ว... ข้าพเจ้าร้องไห้ไปแล้ว... ข้าพเจ้าคิดถึงเธอไปแล้ว...ข้าพเจ้าจึงไม่อยากคิดถึง คนไทยโง่ๆที่ฆ่ากันเองอีก...

.. 23.25 น. ของคืนวันจันทร์ พี่ที่ทำงานโทรมาบอกว่า เพื่อนที่ป่วยอยู่ได้จากไปอย่างสงบ....
อายุ 28 น้อยเกินไปนักสำหรับการจากไปของคนดีๆ... และมากเกินไปเหลือเกินกับการยังมีชีวิตอยู่ของนักการเมืองชั่วๆ..

ข้าพเจ้าแทบไม่มีความรู้สึกใดๆเมื่อทราบข่าว ข้าพเจ้ายังหน้าหน้าจอคอมต่อไปเหมือนเคย... ไม่ตกใจ ไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่งง ไม่มีคำถาม....ไม่มีอะไรทั้งนั้น

สมองเหมือนว่างเปล่า และหยุดพักชั่วครู่.. กว่าที่น้ำตาจะไหลออกมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมง เมื่อข้าพเจ้าหยิบกีต้าร์ขึ้นมา ร้องเพลงพร้อมๆกับร้องไห้..

"ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...
และไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ไหน ...
ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...

และเธออยู่ไกลแสนไกล ...
แต่แม้อย่างนั้น ฉันก็ยังอยากบอกเธอ ให้เธอมาฟังใกล้ๆ ...

ฉันยังมีเธอนะ...ฉันยังมีเธอนะ...ฉันยังมีเธอนะ...

ทุกวินาทีที่ฉันหายใจ
เธอยังคงอยู่ตรงนี้... เพราะฉันนั้นรู้ดี ...

ไม่ว่าไกลเท่าไหร่ นานเท่าไหร่
แต่เรายังมีกันอยู่ใช่ไหม....."
....
....
"คนดี"....

๒๕๕๑-๐๘-๓๐

อ้วน .. นอนไม่หลับ

...เมื่อคืนได้นอนยาวๆ 8 ช.ม.กว่าๆ ตื่นมาความง่วงจึงไม่มี..แต่ความโง่ยังคงเดิม..
...วันนี้ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ค่อยได้ขยับกาย นั่งอ้วนๆทำลายสายตาอยู่หน้าคอม แล้วก็บรรจุอาหารใส่กระเพาะ..

...เริ่มรู้สึกอึดอัด และหดหู่ เนื้อใต้นักแร้กับข้างลำตัว ชักจะเสียดสีกันมากเกินไปแล้ว...
...วันนี้อากาศร้อนมาก หน้าฝนที่ร้อนมากแบบนี้ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย เพราะถ้าตกทีก็มักจะรุนแรง
...เข้าไปดูกระทู้ของสะสมในอดีต เป็นสมุดสะสมสติ๊กเกอร์ ส่งลิ้งให้เพื่อนดู ไปๆมาๆ ก็เลยสรุปว่า ชวนกันไปเที่ยวโรงเรียนเก่าสมัยประถมมัธยม.....นัดกัน 10 โมงเช้า .. อุแม่เจ้าจะตื่นทันไหมนี่ เฮ้อ......

แต่ปรับตัวไว้ก่อนก็ดี เพราะอีกไม่กี่วันมีธุระที่ต้องตื่นแต่ตี 5...
..
.....การไม่สามารถตื่นเช้า กับการนอนไม่หลับ อันไหนแก้ยากกว่ากัน.. ทรมานจริงเหวยไอ้แร้!...

๒๕๕๑-๐๘-๒๙

อารยขัดขืน

... ตื่นแต่เช้าเพราะมีนัดถ่ายคลิปงานน้องอดีตซูเป้อสตาร์... ง่วงๆโง่ๆมึนๆรีบมา แต่ก็ตามคาดกว่าจะได้ถ่ายก็เลทจากที่นัดเกือบ 2 ชั่วโมง... ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นใจ ในความเหน็ดเหนื่อย ภาระคิวงานรัดตัวของ ซูเป้อสตาร์ยิ่งนัก แต่ยังสงสัยว่า แล้วคนเบื้องหลังที่งานรัดตัวมากๆ เร่งๆจะมีสิทธิ์ ให้คนอื่นตรงต่อเวลาและโดนเรียกว่า "ซูเป้อทีมงานบ้างได้ไหม?"

เมื่อคืนปลุกปล้ำกับงานที่เอามาทำที่บ้าน จากที่คาดว่าจะใช้เวลา 2 ช.ม. เอาเข้าจริงก็ 4 ช.ม.ครึ่ง....แถมยังได้ปริมาณน้อยกว่ากำหนด ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่หน้าที่ข้าพเจ้าโดยตรง... ในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าถูกผู้บังคับบัญชาเอาเปรียบ ก็ไม่ได้เคืองอะไร เพราะข้าพเจ้าเองก็เอาเปรียบบริษัทอยู่ทุกวันด้วยการไปสาย....

วันนี้มีแต่ข่าวการเมือง การปะทะกันของพันธมิตร กับพันธแม้ว ไปที่ไหนก็ได้ยินแต่ "อารยขัดขืน" ข้าพเจ้าไม่ค่อยแน่ใจในความหมายของคำๆนี้นัก..
การขัดขืนอย่างสงบ?..
การขัดขืนของผู้มีปัญญา?..

เอ....ถ้าอย่างนั้นก็ชักจะไม่แน่ใจว่า การฝืนง่วงทำงานอยู่ ทั้งที่เซลล์สมองกำลังหาวหวอดๆในตอนนี้ การที่ร่างกายขัดคืนคำสั่งของสมองอย่างสงบของคนไร้ปัญญาแบบข้าพเจ้านี้ พอจะเรียก ได้ว่า "อารยขัดขืนได้รึเปล่า?"..ที่สำคัญกว่านั้น นายจ้างจะส่งหน่วยปราบปรามมาสลายม๊อบความง่วงในกะโหลกหนาๆปัญญาทึบๆของข้าพเจ้าไหมเนี่ย?.... 555

๒๕๕๑-๐๘-๒๗

เพื่อนสนิทตั้ง 2 คน


เมื่องานด่วนเข้ามา...ก็พาอารมณ์ด่วนไปด้วย...

ช่วงหลายวันนี้ข้าพเจ้าต้องทำงานด้วยความเร่งด่วนโดยที่ต้องเสียสละ ใช้ทรัยยาการทั้งเงินและแรงกาย สมอง ส่วนตัว ทำเพื่อบริษัท และด้วยความเร่งรีบนี่เอง ก็ทำให้ข้าพเจ้ามองข้ามอะไรไปเหมือนกัน .. ข้าพเจ้าไม่สันทัดในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้นัก จึงฝากความหวังกับเพื่อนสนิทที่เชี่ยวชาญ แต่ในแรกเริ่มกลับไม่ได้ความช่วยเหลือเท่าที่คาดหวัง ก็เลยพาลอารมณ์เสีย ใส่เพื่อนสนิทอีกคนไปด้วย ทั้งที่ชีวิตนี้ข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทเพียง 2 คน..

กว่าจะได้สติก็พักใหญ่ ข้าพเจ้ามาคิดดูดีๆ "บางครั้งความสนิท ก็ทำให้เรามองข้ามความเกรงใจ" ไปโดยไม่ตั้งใจ ธรรมชาติของมนุษย์ขี้เหม็นนั้น ยิ่งซี้ปึ้กกัน ความคาดหวังก็ยิ่งมาก ความกวนตีนก็ยิ่งมาก ความเออออห่อหมกอะไรก็ได้ก็ยิ่งมาก ความกูรู้ว่ามึงไม่โกรธไม่เป็นไรหรอกก็ยิ่งมาก...แต่........ความเคารพเกรงใจกลับลดลง ไม่ใช่แค่กับเพื่อนสนิท แต่บางครั้งก็ลามปามไปถึง รุ่นพี่ รุ่นน้องที่สนิทด้วย...

นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังอารมณ์เสียบ่อยๆเหมือนชายประจำเดือนมาไม่ปกติ เวลาเห็นเพื่อนสนิททำตัวดู งี่เง่าออกนอกลู่นอกทาง และมักจะด่ามันอยู่เนืองๆ เยี่ยงชายแก่ปากหมาน่ารำคาญยิ่งนัก หลงลืมไปเสียสนิทใจว่า ข้าพเจ้าหาใช่บิดามารดรมันไม่ อย่างมากก็คงควรเพียงตักเตือนและออกความเห็นตามสมควร

คิดๆถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ข้าพเจ้าเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ยังนับว่าโชคดีที่ไม่ใจเสียไปสักนิด

เพราะอย่างน้อย ข้าพเจ้ายังรู้ว่า "ข้าพเจ้ายังคงมีเพื่อนสนิทอยู่ตั้ง 2 คน"

๒๕๕๑-๐๘-๒๖

ขุมพลังของ "มิสเตอร์จงจอหอ"

..แล้วงานด่วนๆ ก็เข้ามาจริงๆ สั่งปุ๊บเอาปั๊บ แถมเป็นงานสำคัญร่วมมือกันระหว่างประเทศเสียด้วย.... พวกมืออาชีพอุกรณ์ครบๆก็ไม่มีคิว สุดท้ายข้าพเจ้าก็ต้องตะเกียกตะกายทำเอง...ก็คอนมาดูกันว่าคุณภาพจะพอถูไถประทับใจท่านต่างๆหรือไม่.... ตังค์ไม่ให้ เวลาไม่มี แต่จะเอางานดีนะจ๊ะ....ชิชะมะระจิ้มขี้

เมื่อคืนดูพี่สมจิตรจอมจุ๊บๆออกรายการ พูดถึงความลำบอกท้อแท้ จากการแพ้ตกรอบคราวที่แล้ว เกือบจะทำให้ถอดใจเลิกชกมวย แต่ก็อดทนฝ่าฟันสู้จน 4 ปีผ่านไป มิสเตอร์จงจอหอแกก็ ทำสำเร็จจนได้ คว้าความฝันของแก และสร้างรอยยิ้มให้คนทั้งประเทศ...

"มิสเตอร์จงจอหอ" แกพูดได้ประทับใจมาก หลังจากที่แกเกือบเป็นลม เพราะเหนื่อยอ่อนกับการแห่รอบเมืองโชว์ตัวต่างๆ นาทีนี้คนดังใครๆก็อยากต้นรับ ขอมีเอี่ยวให้กน้าตาใหญ่ขึ้นสักนิดก็ยังดี พี่สมจิตรแกเหนื่อยล้าข้าวปลาไม่ได้กิน แต่แกก็ยังคงมีรอยยิ้มยินดีกับทุกคนที่เข้ามาคุย ที่ขอจับมือ ขอถ่ายรูป นักข่าวถามว่าแกไม่เหนื่อยหรือ แกว่า "ผมมีวันนี้ได้เพราะทุกคนครับ ที่ทำให้ผมอดทนฝ่าฟันทุกอย่างมาได้ ไม่มีอะไรที่หนักกว่าซ้อมมวยแล้วครับ เรื่องเหนื่อยล้าแค่นี้เรื่องเล็ก"

นอกจากของคุณคนไทยแล้ว ที่สำคัญต้องขอบคุณครอบครัวด้วย ที่ไม่เคยทอดทิ้งแก คอยสนับสนุนให้แกสู้มาตลอด...

พี่สมจิตรเป็นตัวอย่างที่ดี ของนักกีฬาอายุมาก ที่มีความรับผิดชอบ และวินัย เสียสละ วันๆเอาแต่ซ้อมๆๆๆๆ ไม่ดื่ม ไม่เที่ยว ไม่เหลวไหล มีโอกาสเจอลูกเมียแค่อาทิตย์ละครั้งสั้นๆในวันอาทิตย์ ส่วนถ้าช่วงเก็บตัว ก็ 4-5 เดือนที่ไม่ได้เจอกันเลย อย่างมากก็โทรคุยครั้งละ 5-10 นาทีเท่านั้น

การคิดถึงคนรักและครอบครัวมันทรมานมากขนาดไหนข้าพเจ้าว่าทุกคนคงเข้าใจดี แต่ที่สุดแล้วพี่สมจิตรแกก็ผ่านมาได้ เพราะแกคิดว่า ถึงแม้จะไม่ได้เจอกัน จะทรมานใจก็ไม่เป็นไร... แกรู้ดีว่า ครอบครัวนั้นยังคง มอบสิ่งๆหนึ่งให้แกอยู่เสมอ ไม่ว่าไกลห่างกันหรือลำบากแค่ไหน และสิ่งนั้นแหละที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน.....ในการก้าวข้ามความลำบาก..

คำสั้นๆที่เรียกว่า "กำลังใจ" ^_^

๒๕๕๑-๐๘-๒๕

เสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

....กำลังเห่อหูฟังใหม่ ฟังทั้งวัน ฟังทุกวัน ฟังตั้งแต่เจ็บหูยันหายเจ็บ ข้อดีของหูฟังดีๆแพงๆคือ ให้รายละเอียดเสียงที่เยี่ยมยอด อิ่มอกอิ่มใจนัก เสียงต่างๆที่ไม่เคยได้ยินก็เปล่งพลังออกมาอย่างชัดเจน แต่ข้อเสียคือมันละเอียดเกินไปจนบางเพลงได้ยินกระทั่งรอยสะดุดเล็กๆน้อยที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งเพลงที่บันทึกเสียงมาไม่ดีก็ยิ่งสัมผัสได้ชัด และนั่นก็ทำให้การฟังเพลงของข้าพเจ้ามีความสุขน้อยลง .. -_-"

จริงๆแล้วความสุขมันอยู่ที่ใจ เด็กๆแค่วิทยุป๋องแป๋งสักเครื่องที่มีเสียงเพลงก็ดีใจแล้ว โตมาก็เปลี่ยนเป็น ซาวน์อะเบ๊าท์ - เป็นซีดี Walkman - เป็นเครื่องเล่น Mp3 - เป็น Ipod - จากหูฟังแถมฟรี ก็เป็นอันละหลายร้อย - จนเป็นอันละหลายพัน (หวังว่าคงไม่ไปแตะหลักหมื่นในอนาคต) ข้าพเจ้าสังเกตว่า เงินเป็นอาหารเลี้ยงกิเลสเป็นอย่างดี เมื่อก่อนไม่มีเงินก็พอใจกับเท่าที่มี ทีนี้พอมีเงินกิเลสก็โตขึ้น อยากได้ของดีกว่าเดิม ปัญหาใหญ่ของคนส่วนมากก็คือ พอวัฏจักรเวียนกลับไปไม่มีเงินอีกรอบ กิเลสตัวดีอ้วนพีมันดันไม่ยุบตัวลงตามไปน่ะสิ มันติดนิสัยอยากจะได้จะกินแยะๆแพงๆดีๆอยู่... ก็ต้องใช้สติดัดสันดานกันไปล่ะ

วันนี้ฟังเรื่องของพระท่านหนึ่ง เป็นระดับเจ้าอาวาส มีคนนิมนต์ไปเทศน์ ไปงานต่างๆบ่อย ท่านมีลักษณะเด่นๆก็คือ ทุกครั้งท่านจะไปตรงเวลาพอดีเป๊ะ นัก 9 โมง ก็ต้องถึงตอน 9 โมงตรง ไม่มีก่อนเวลาหรือเกินเวลา การเดินทางของท่านมักจะเผื่อเวลาก่อนเสมอ แล้วถ้าไปถึงเร็ว ก็จะแวะแถวๆนั้นก่อน รอให้ตรงตามเวลานัดเป๊ะเช๊ะ ค่อยเข้าไปในสถานที่นั้นๆ ท่านบอกว่าต้องทำแบบนี้เพราะ "ถ้าไปสายจะเสียมารยาทอีกทั้งทำให้เจ้าภาพกระวนกระวายใจ แต่ถ้าไปเร็วก็จะสร้างความอึดอัดใจอีก เพราะเจ้าภาพอาจจะยังเตรียมงานต่างๆไม่พร้อมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ไปตรงเวลานับว่าดีที่สุด".... สำหรับมนุษย์นักยืดเวลาเช่นข้าพเจ้าที่บูชาเทพเจ้าแห่งการไปสาย..ฟังแล้วก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก และแปลกใจยิ่งว่าทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ข้าพเจ้าถึงคิดไม่ออก...........

ขณะที่กำลังตั้งคำถามให้นิสัยชั่วของตนเองอยู่นั้น ก็เหมือนได้ยินเสียงพระแก่ๆเสียงหนึ่งกระซิบข้างหู ทั้งๆที่ท่านไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพียงตัวละครในนิยายธรรมมะที่ข้าพเจ้าฟังเป็นประจำ เสียงแก่ๆนั้นบอกว่า .... ข้าพเจ้าจะคิดอะไรดีๆออกอีกแยะ เคล็ดลับสั้นๆง่ายๆแค่ ..."รู้จักเอาใจเขา....มาใส่ใจเรา"

....ข้าพเจ้าแอบดีใจคนเดียวเงียบๆ มองพูฟังที่กำลังเห่อเหมือนเมียใหม่.... ถึงแม้มันออกจะราคาแพงไปสักหน่อย แต่ถ้าทำให้เราได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแบบนี้ได้
...... มันก็ดูจะคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน.. ^_^

๒๕๕๑-๐๘-๒๔

ว่าจะ...........แต่ก็.....

... ว่าจะนอนเร็ว ........... แต่ก็นอนเช้า
... ว่าจะตื่นก่อนเที่ยง .......... แต่ก็ตื่นบ่าย 3
... ว่าจะออกกำลังกาย ......... แต่ก็ไม่ขยับกาย
... ว่าจะกินน้อย ........ แต่ก็กินเยอะ
... ว่าจะเป็นเด็กดี ........แต่ก็อารมณ์เสียใส่เดอะแม่
... ว่าจะไปเยี่ยมยาย ........ แต่ก็ขี้เกียจไป
... ว่าจะเก็บกวาดห้อง ........ แต่ก็ทำห้องรก
... ว่าจะล้างรถ .......... แต่ก็ไม่ได้แตะรถสักขี้เล็บ
... ว่าจะเขียนนิยายเล่นต่อจากวันก่อนๆ ............ แต่ก็ไม่ได้เขียน
... ว่าจะลงโปรแกรมดนตรี ..............แต่ก็ไม่ได้ลง
... ว่าจะคิดถึงใครสักคน.........
.....
.......
..........
.............
... แต่กลับไม่มีใครสักคน...............ให้คิดถึง ...

๒๕๕๑-๐๘-๒๓

ไปใช้เงินแล้วไปอิจฉา...ก่อนจะมาพัฒนาตนเอง


..วันนี้เป็นวันเสาร์...และวันนี้เป็นวันเหงา....

ช่วงหลังๆนี่รู้สึกสายตาไม่ค่อยดี ขับรถกลางวันบางทีมัวๆไม่ชัด ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะขี้ตา หรือกล้ามเนื้อตาโดนใช้งานหนักมานาน หรือไม่ก็ร่างกายเราอาจจะใกล้ปรับสภาพแล้ว... จากมนุษย์ทั่วไปสัตว์กลางวัน เราอาจจะกำลังวิวัฒนาการเป็นสัตว์กลางคืนก่อนเพื่อนๆก็เป็นได้.. เพราะกลางคืนไม่ง่วง มองอะไรชัดไม่พร่ามัว แต่พอกลางวัน ตาหนักจะหลับมองอะไรก็เบลอๆ สมองไม่ค่อยทำงาน คิดอะไรก็มักคิดออกตอนกลางคืน....บางทีเราควรไปสมัครงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของท่านเค้าท์ แดร็กคูล่า .. ค่อยๆตีซี้เรื่อยๆพอพูดภาษาค้างคาวเข้าใจแล้ว ค่อยย้ายไปสมัครงานกับ Batman

ตอนบ่ายๆออกไปซื้อหูฟังที่ร้านเฮียมั่นและเอาหูฟังที่เสียไปซ่อม คนแยะมาก บริการดี ซ่อมแค่ 5 นาทีก็เสร็จแล้ว ไม่คิดสตางค์ แต่เราก็ซื้อหูใหม่อีกจนได้ ได้ลองฟังแล้วมันก็โดนหัวใจ จึงต้องจ่ายหมดตัวจนหัวมึน... รู้ว่ามันแพง แต่มนุษย์เสพย์ติดเสียงเพลงมากกว่าเสียงเพศตรงข้ามอย่างข้าพเจ้า ทำได้ดีทีสุดตอนนี้คือ พยายามใช้ให้คุ้มค่าและรักษาไม่ให้มันพังง่ายๆ อย่างที่แล้วมา ...

ก่อนกลับบ้านแวะบ้านเพื่อน แว้บๆไปเชียร์มวยและกินข้าวฟรี .. ที่สุดน้องมนัสหมัดตั๊กแตนก็แพ้ หนุ่มโดมินิกัน นาย เฟลิกซ์ ดำปี้ด จริงๆ แต่ก็ไม่ได้เสียใจเท่าไหร่ ดูแล้วเขาเก่งเหลือเกิน...

ด้อมๆมองๆเครื่องคอมของเพื่อน เจอเพลงที่มันทำกะน้องและเพื่อนของเพื่อนอีกหลายเพลง...ไม่เพราะเลย.... แต่อย่างน้อยมันก็ได้ทำ .. มีบางเพลงใส่เสียงร้อง เจ้าBB (1ใน มนุษย์พันธุ์ที่คิดว่าตอนนี้ไม่อยากคุยด้วยเท่าไหร่)........... ก็ว่าจะลองทำอะไรให้ดีกว่าเจ้า BB บ้าง อิจฉามันเล็กน้อย และวิธีดับมี 2 อย่าง คือ ถ้าไม่ปล่อยวาง ข้าพเจ้าก็ต้องพัฒนาตนเอง

๒๕๕๑-๐๘-๒๒

น้ำตาพี่เผือกโย่ง VS. ชัยชนะน้องดำปื้ด

วันนี้หลับๆตื่นๆ แถมยังจำเวลาถ่ายทอดมวยโอลิมปิกผิด เลยยิ่งได้นอนน้อย ตื่นมารอเชียร์ พี่อำนาจและน้องมนัส ก่อนเวลาจริงพักใหญ่...โอลิมปิก คราวนี้ชาวไทยเก่งกาจเข้ารอบลึกๆได้หลายรายการ นักกีฬาหลายท่านจำแลงกายเป็นฮีโร่ได้ในชั่วไม่กี่นาที น่าปลื้มดีๆๆๆ ที่เชียร์วันนี้เป็นรอบรองของมวย 2 รุ่น ก็เป็นอันว่าเราชนะได้เข้าชิงทั้ง 2 รุ่น ดีใจกับพี่สมจิตรจอมจุ๊บๆกับน้องมนัสหมัดตั๊กแตน ที่อย่างน้อยก็ได้เหรียญเงิน และเงินก้อนตุนในกระเป๋าแล้ว..เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่ำๆก็จะได้รู้กันว่า เหรียญเงินจะพัฒนาเป็นเหรียญทอง และ เงินก้อนจะอัพเกรดเป็นซูเป้อร์เงินก้อนโตโต๊โต ได้รึเปล่า.. ^_^

ดู 2 มนุษย์มวยคู่แดนสยามแล้ว ก็เลยลากยาวดูคนที่จะเข้าชิงกับน้องนมัสอีกคู่ เป็นการเจอกันของนักมวยเผือกฝรั่งเศสกับน้องดำปื้ดโดมินิกัน ทางพี่เผือกได้เปรียบอยู่มาก เนื่องจากสูงยาวกว่าแยะ ช่วงชกก็กว้าง ดูแล้วเป็นการยากยิ่งที่น้องดำปื้ดจะต่อกร ซึ่งรูปเกมก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พี่เผือกโย่งแกจ้วงหมัดเอาจ้วงเอาจนคะแนนทิ้งห่าง ยิ่งดูก็ยิ่งน่าห่วงน้องดำปื้ด ทางผู้บรรยายก็ให้ความรู้ว่า คนสูงกว่าได้เปรียบครับ เวลาต่อยหน้ากัน ชกลงจากข้างบน หมัดจะแรงกว่าเดิมเพราะแรงโน้มถ่วงโลกช่วยบวกพลัง ส่วนคนเตี้ยกว่าต้องต่อยเสยขึ้นสวนทางแรงโน้มถ่วงทำให้หมัดเบาลงและเหนื่อยกว่า.. แถมผู้บรรยายกูรูกูรู้มึงไม่รู้ ยังเสริมอีกว่า แหมตัวเล็กกว่านี้เสียเปรียบครับต้องค่อยต่อยลำตัวก่อนครับอย่าไปต่อยหน้า ต้องต่อยลำตัวจนกว่าเขาอ่อนแรงแล้วทีนี้ค่อยต่อยหน้าเขาจะหลบไม่ออก...

แต่เดชะบุญ ที่ทางฝั่งโดมินิกันฟังภาษาไทยไม่ออกครับ แกเลยชกต่อยแต่หน้าตามสไตล์แกไม่สนใคร ชกแบบใจสู้มาก รู้ว่าเป็นรองก็ไม่ท้อ เดินสู้ตามสไตล์ที่โค้ชซ้อมมาไม่หวั่นไหวเสียงนกการเวกสยาม ครับ เดินเข้าหาอย่างเดียวจะโดนหมัดสวนมาเจ็บตัวแค่ไหนไม่กลัว รู้อย่างเดียวเข้าไปต่อยๆๆๆ หน้าตู้มๆ โดนมั่งไม่โดนมั่ง จากที่คะแนนตามอยู่ประมาณ 6 หมัดครับ แกค่อยๆไล่จ้วงๆจนเหลือไม่กี่วินาทีคะแนนมาเท่ากันเสมอพอดี และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันเฟื่องก็เกิดขึ้น!... อยู่ดีๆพี่เผือกโย่งทำผิดกติกาเลยโดนตัด 2 แต้ม สุดท้ายกลายเป็น น้องดำปื้ดก็ชนะผ่านเข้าไปชิงเหรียญทองกับพี่มนัสหมัดตั๊กแตนของเรา..

งานนี้พี่เผือกโย่งถึงกับตะโกนลั่นร้องให้โฮเสียใจมากครับ ดูไปก็น่าสงสาร แต่ก็ต้องชื่นชมน้องดำปิ๊ดโดมินิกัน ที่พยายามสู้จนพลิกชนะไปแบบฉิวเฉียด..เห็นแกต่อยแล้วนี่ถ้านัดหน้าไม่ได้เจอกับพี่มนัสผมเองก็คงเชียร์แกเหมือนกัน..

ก็คนที่ตั้งใจทำอะไรจริงจัง โดยไม่ท้อแท้ต่อความลำบาก ความเจ็บปวด ความเป็นรอง.. ไม่หวั่นไหวต่อเสียงนกกา แค่เชื่อมั่นว่าเดินหน้าทำอย่างที่คิดไตร่ตรองมาแล้วให้ดีที่สุดน่ะ..... มันน่าชื่นชมน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่ล่ะครับ ^_^

๒๕๕๑-๐๘-๒๑

ความสัมพันธุ์ของหน้าตา ที่น่าสงสัย?

.. มีข้อสงสัยหนึ่งเกิดขึ้นในใจข้าพเจ้า... สังเกตมานานแล้วว่า ความสัมพันธุ์ระหว่างหน้าตามนุษย์นั้นมีจริงๆ โดยเฉพาะคนกับอาชีพ...

ข้าพเจ้าคิดว่า เรื่องรูปลักษณ์ของคนกับอาชีพนั้นมีผลมากทีเดียว อย่างเช่นแม่ครัวที่ทำอาหาร เท่าที่เจอ แม่ครัวอ้วนๆมักทำอาหารอร่อยว่าแม่ครัวผอมๆ.. รวมถึงคนทานอาหาร เวลาเห็นอาหารที่ถูกทำโดยแม่ครัวอ้วน เรามักรู้สึกน่ากินมากกว่าเห็นคนผอมๆทำ บุคลิกลักษณะการขยับกายเยื้องย่างใส่ส่วนผสมต่างๆ ภาพการเคลื่อนตัวของไขมันตามแขนและพุงของเธอ มันช่างเร้าอารมณ์และน้ำย่อยได้ดีเหลือเกิน ..

นอกจากนั้นแล้ว ข้าพเจ้ายังสังเกตว่า คนที่ทำอาชีพอะไรก็มักจะหน้าตาคล้ายกับงานนั้นๆอีกด้วย .. ที่เห็นกันทั่วๆไป ก็เช่น คนเป็นโจรมักหน้าเหมือนโจร คนรวยๆมักหน้าออกเสี่ยๆ ลองดูดีๆข้าพเจ้าพบว่า คนขายลูกชิ้นทอดมักหัวกลมๆคล้ายลูกชิ้น...คนขายปลาหมึกย่างมักปากจู๋ๆเหมือนปลาหมึก...คนขายมะม่วงดองมักหน้ารีๆโค้งทรงมะม่วงดอง .. บางทีหลักการซึมซับสิ่งที่เราทำอาจจะเป็นจริง ก็ได้.. ตรรกกะง่ายๆ ที่ทำอะไรบ่อยๆก็จะถนัดแล้วค่อยๆซึมเข้าไปในยีนส์ของเราโดยไม่รู้ตัว นักกีฬาที่ฝึกซ้อมทุกวันจะเก่งในด้านนั้นๆฉันใด จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ขายลูกชิ้นทอดบ่อยๆแล้วหน้าจะค่อยๆกลมเหมือนลูกชิ้นฉันนั้น?..

แต่บางครั้งข้าพเจ้าก็คิดสงสารเหมือนกันในกรณีที่บางคนต้องทนอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบล่ะ หน้าตาเขาจะซึมซับสิ่งที่ทำได้ไหม เช่น... คนขายขนมนมเนยไขมันสูง ทั้งที่กำลังต้องการลดน้ำหนัก... คนเป็นยาม รปภ.ทั้งที่กำลังง่วงและอยากนอน ...คนฆ่าสัตว์ที่โรงงาน ที่กำลังคิดจะศึกษาธรรมมะ....ว่ากันว่าคนเราเวลาทำอะไรฝืนใจ มักทำไม่ได้ดี ..

หลังจากข้าพเจ้าดูข่าวความล่มจมของเศรษฐกิจประเทศแล้ว ข้าพเจ้าสงสัยอย่างที่สุดมากกว่าที่สงสัยในอาชีพใดๆ... "ทำไมไม่มี นักการเมือง ที่หน้าตาดูเป็นคนดีเสียสละสักคน".... หรือพวกเขากำลังฝืนใจทำงานที่ไม่อยากทำในสภากันอยู่หนอ?... งานเสียสละเพื่อประชาชน?

๒๕๕๑-๐๘-๒๐

นักคิดบ้าๆที่แอบฟุ้งซ่าน

.. เมื่อคืนตอนกลับบ้านแวะซื้อหนังสือที่ตลาดปากถนน เจอคุณแม่ของนักร้องสาววัยรุ่นท่านหนึ่งที่ออฟฟิศ แกมาเก็บเงินและของที่แผงขายอาหาร คุยๆไปได้ความว่าแกมีแผงขายอาหารหลายที่เลย และยังขายส่งตามห้างอีกด้วย ...อืม..ขยันทำมาหากินจริงๆ ขนาดลูกสาวเป็นนักร้องขวัญใจวัยรุ่น แต่แกก็ไม่ประมาทในการใช้เงิน ต้องเตรียมไว้เพื่ออนาคตที่ไม่รู้ว่า ชื่อเสียงจะถูกเรียกคืนจากผู้มอบให้ขี้เบื่อวัยรุ่นไทยเมื่อไหร่ ...ในโลกความเป็นจริง ความฝันของลูกๆมักไม่ยาวนานและมั่นคงเท่าความรักของผู้เป็นแม่..

วันนี้เป็นวันเรื่อยเปื่อยอีกหนึ่งวัน งานยังต้องรอฝ่ายอื่นถึงจะดำเนินการต่อได้...แต่สังหรณ์ข้าพเจ้าเตือนว่า ไอ้ฝ่ายอื่นที่แหละที่มันชอบส่งงานมาใกล้เส้นตายประจำ และทำให้เราต้อง รีบๆล่กๆงกๆเงิ่นๆ ทำงานแบบการทอดไก่ด้วยความเร็วแสงขณะที่ต้องการคุณภาพระดับไก่ย่างห้าดาว..เอ็งเพ้อรึเปล่าฟะ..ไอ้เวลลลล -_-"

เมื่อวานเพิ่งบ่นเรื่องการใช้จ่ายซื้อของไป .. แล้วก็เซ็งอีกจนได้ หูฟังตัวโปรดของข้าพเจ้าพิการเสียแล้ว ข้างหนึ่งๆติดๆดับ เวลาฟังเอียงคอขยับหัวเพี้ยนองศาทีก็ดับที เป็นแบบนี้จนน่ารำคาญ สำหรับคนฟังเพลงเป็นอาหารบำบัดจิตจานหลักอย่างข้าพเจ้า มันช่างทรมานหุดหิดหงุดหงิดใจยิ่งนัก ไอ้ใบเสร็จตอนซื้อเมื่อต้นปีก็หาไม่เจอ จะส่งไปเคลมที่เมืองลุงแซม ก็รอเป็นเดือนและค่าใช้จ่าย 5 ร้อยกว่าบาท.... มีแววว่าจะซื้อใหม่อีกแล้ว คุณกิเลสกระซิบข้างหูไวๆตะกี้อยู่ "ไหนๆแล้วก็..ซื้อรุ่นที่เสียงดีกว่า แพงกว่านี้ไปเล้ย ไอ้ฟายแร้ เหอๆๆๆ.." "ไหนๆแล้วก็..ซื้อรุ่นที่เสียงดีกว่า แพงกว่านี้ไปเล้ย ไอ้ฟายแร้ เหอๆๆๆ.." "ไหนๆแล้วก็..ซื้อรุ่นที่เสียงดีกว่า แพงกว่านี้ไปเล้ย ไอ้ฟายแร้ เหอๆๆๆ.."....(ไม่ได้พิมพ์ผิด แต่ให้เห็นว่ามันกระซิบหลายรอบมาก)

หลังจากมีชีวิตบนโลกนี้ได้ระยะหนึ่ง คนที่รู้จักข้าพเจ้ามักให้ความเห็นต่อข้าพเจ้า 3 ประเภท...
1. เพื่อนสนิทลงความเห็นว่า.. "ข้าพเจ้าฟุ้งซ่าน"
2. เพื่อนไม่สนิทลงความเห็นว่า .. "ข้าพเจ้าบ้า"
3. เพื่อนก้ำกึ่งสนิทกับไม่สนิทลงความเห็นว่า.. "ข้าพเจ้าเป็นนักคิด"
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เคยแยแสใส่ใจอยู่แล้ว "เพราะมันไม่สำคัญเลยว่าข้าพเจ้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ ที่สำคัญที่สุดคือ .. พวกท่านทั้งหลายเป็นคนแบบไหนต่างหาก "...

๒๕๕๑-๐๘-๑๙

แปลงร่างมนุษย์ของเก่า

เมื่อคืนเดินคาร์ฟู ดีใจมากที่เจอ "พี่โป่งไหเหล็กฟิน" ปลื้มมากที่ Idol ของข้าพเจ้าทักทายข้าพเจ้าอย่างเป็นมิตร แม้ว่าไม่เคยร่วมงานกันโดยตรง พี่โป่งเป็นRock Star ซึ่งน่ารักกว่าที่ข้าพเจ้าคิดเสมอ ทราบความว่าแกยังสบายดีอยู่ แต่ก็ต้องหาหนทางสู้กับความล่มสลายในวงการเพลงที่คนบริโภคแต่ของฟรีต่อไป... ข้าพเจ้าขอให้แกโชคดี....พอๆกับที่ขอให้ตนเองไม่มีโชคร้าย..

..วิกฤติเศรษฐกิจดูเหมือนใกล้เข้ามาทุกที เมื่อครั้งฟองสบู่เงินตราโพล๊ะ 11 ปีก่อนข้าพเจ้ายังเป็นเพียง น.ศ. จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ตอนนี้สู่วัยทำงานจึงเริ่มมองเห็นและสัมผัสความหายนะรอบๆตัวบ้าง บริษัทที่ข้าพเจ้าทำงานเริ่มโละคนออก บางคนอยู่มาเกือบ 20 ปีก็ไม่รอด ค่าครองชีพต่างๆรอบตัวพุ่งสูงกว่าบั้งไฟแชมป์โลก เงินเดือนที่ขยับทีละนิดเหมือนเต่าป่วยขาพิการหลอกให้เราดีใจเล็กๆ แต่พอเทียบกับค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อรอบตัว ก็หวนให้สำเหนียกว่า เราได้เงินเดือนมากขึ้นแต่จนลง...

คนเราอายุมากขึ้นกิเลสก็หนาขึ้น จากเด็กๆที่พอใจเพียง อาหาร เกมส์ ของเล่น การ์ตูน เพื่อน.. พอโต ก็ต้องการโน่นนี่มากกว่าเดิม รถ บ้าน ไอพอด เสื้อผ้าสวย เครื่องประดับ เพศตรงข้าม การนับถือ ฯลฯ.. ข้าพเจ้าเริ่มสังเกตตนเองว่าพักนี้จะหยิบเงินยากขึ้น ก่อนจะซื้อเริ่มต้องคิดว่าซื้อไปแล้ว มันจะไปอยู่ที่ไหน ได้ใช้กี่ครั้ง และนึกถึงคำของเดอะแม่หลายวันก่อนที่พูดว่า เรากำลังแปลงร่างเคลื่อนสถานภาพเข้าสู่ภาวะคนจนแล้วนะ... 2 เดือนนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตระหนัก...

ข้าพเจ้าเข้าร้านหนังสือ หยิบแล้ววาง เข้าร้าน CD หยิบแล้ววาง นึกไปถึงภูเขาหนังสือและ CD ที่ซื้อแล้วยังไม่ได้อ่าน ยังไม่ได้ฟัง หนังที่ยังไม่ได้ดู .. ความคุ้นเคยของเพื่อนเกลอชื่อ "กิเลส"มักทำให้เราเป็นนักหมักดองของโดยไม่รู้ตัว.. บางทีแท้จริงแล้วความผิดหวังต่างๆในชีวิต ทำให้เราต้องการเพียงครอบครองเป็นเจ้าของอะไรสักอย่าง มากกว่า ต้องการใช้มันจริงๆ...อะไรเล่าจะตอบสนองได้ดีเท่า Shopping..

ข้าพเจ้าถือเป็นนักหมักดองของระดับมืออาชีพ....จริงๆแล้วหนังสืออีกหลายร้อยเล่ม เพลงอีกนับหมื่นๆเพลง ที่ถูกซื้อมาหมักดองนานจนหากพวกมันเป็นขี้ก็คงปลูกผักได้หลายไร่ ...-_-"ต่อให้ข้าพเจ้าอ่านและเปิดฟังทุกวัน ก็น่าจะดำรงชีพอยู่ได้หลายปี หรือบางทีจะตายก่อนด้วยซ้ำ แต่กิเลสนั้นเติบโตตามเทคโนโลยี ยิ่งรู้มากว่ามีอะไรใหม่ ก็ยิ่งอยากมากที่จะสัมผัส ของรักของหวงเป็นของเก่าเร็วกว่าที่เคย และหลายสิ่งกลายเป็นของเก่าโดยที่เรายังไม่ได้เปิดใช้ด้วยซ้ำ....

"มนุษย์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ทารกใหม่ๆ วัยรุ่นใหม่ๆ ผู้ใหญ่ใหม่ๆ คนแก่ใหม่ๆ..ข้าพเจ้านึกสงสัยว่า แล้วตัวเราเองเล่า วันหนึ่งจะกลายร่างเป็นมนุษย์ของเก่าไป โดยที่ไม่มีใครได้ใช้รึเปล่า..."

๒๕๕๑-๐๘-๑๘

รักษาความสะอาดช่องปากแบบพิเศษเอ๊กซ์ตร้าจัมโบ้พลัสคอมโบ้เซต!

วันจันทร์วันแห่งการทำงานวันแรกของสัปดาห์ และน่าเบื่อเสมอ ถ้าไม่มีอะไรพิเศษรอคอย.. คงมีหลายคนไม่ชอบวันจันทร์ แต่นั่นไม่ใช่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเกิดวันจันทร์ และข้าพเจ้าชอบสีเหลือง...พอๆกับสีฟ้า ขาว น้ำเงิน ดำ ฯลฯ..

เมื่อคืนว่าจะดู Seven Samurai ต่อแต่ก็ไม่ได้ดู เพราะแค่เวลาแปรงฟันก่อนนอนแต่ละครั้ง ก็ร่วมๆเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จากมนุษย์ที่แปรงฟันไม่ถึงนาทีอย่างข้าพเจ้า เมื่อต้องรักษาฟันชุดใหญ่ จึงต้องกลายเป็นเช่นฉะนี้ ปัญหาเหงือกอักเสบ ฟันผุ คอฟันห่าง ต่างๆนาๆ ทำให้ข้าพเจ้าต้อง รักษาความสะอาดช่องปากแบบพิเศษเอ๊กซ์ตร้าจัมโบ้พลัสคอมโบ้เซตแบบ 5 สเต็ป!!!!!

เริ่มจากขั้นแรกแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันไมโครทิปส์ (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่คุณหมอใจดีเรียกแบบนี้)ให้สะอาดเกลี้ยงเกลาด้วยมุมปัดขึ้นลงเฮียง 45 องศา เสร็จแล้วสู่ด่าน 2 เข้าประจำการที่หน้ากระจกเพื่อใช้แปรงขัดซอกฟัน (เป็นแท่งเล็กๆคล้ายแปรงล้างขวดนมเด็กขนาดจิ๋ว) สอดทำความสะอาดระหว่าซี่ฟันที่คอฟันห่างกัน ข้าพเจ้ามี 2จุด ซ้ายและขวา ตอนนี้แหละที่กินเวลานาน เนื่องด้วยไอ้เศษอาหารมันหลบเก่งยิ่งกว่า สายลับ 007 ถูด้านนอกมันหนีเข้าใน ถูด้านในมันหนีไปใต้เหงือก ถูใต้เหงือกมันหนีไปด้านหลัง -_-" ข้าพเจ้าต้องเล่นไล่จับกับเศษผักเศษเนื้อแบบนี้ทุกวัน

มาถึงขั้นที่3 คือ ใช้ไหมขัดฟัน ค่อยๆสอดเข้าไปใต้เหงือกทีละซี่ เพื่อเก็บรายละเอียดจากจารชนเศษผักเศษเนื้อที่ยังเหลืออีกรอบ เมื่อฟันดูเรี่ยมเร้เรไรดีแล้ว ก็สู่ขั้นที่ 4 คือ ใช้แปรงสีฟันไมโครทิปส์แปรงฟันทั้งหมดอีกครั้งเหมือนเดจาวูขั้นตอนที่1 -_-" (คุณหมอใจดีบอกว่าคนเราจริงๆควรแปรงฟันครั้งละ 2 รอบ เพราะรอบแรกน่ะแค่ขจัดเศษอาหาร แต่ฟันและเหงือกจะดูดซึมฟลูออไรด์ได้ดีต้องเป็นรอบ 2 ที่ฟันสะอาดจากเศษอาหารแล้ว) ไอ้รอบหลังนี่แหละที่มี Bonus Stage ด่าน4.1 เพิ่มมาอีกนั่นคือ หลังแปรงด้วยไมโครทิปส์ใหญ่แล้วต้องเก็บรายละเอียดระหว่างซี่ฟันอีกหนด้วย ไมโครทิปส์ขนาดเล็ก (หัวแปรงประมาณ 1/3 ของไมโครทิปส์ใหญ่)เสร็จแล้วจึงเป็นขั้นที่ 5 สุดท้ายคือบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์...อ้าซซซซซ์......ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกปากสะอาดปราศจากเชื้อโรคเท่านี้มาก่อน.....

กว่าจะแปรงเสร็จล่อไปเกือบครึ่งชั่วโมง ง่วงพอดี หนังไม่ต้องดู มนต์เมินต์ไม่ต้องสวดอะไรกันล่ะ ภาวนาให้พระเพรอะ หลวงพ่อ โปรดเข้าใจในเจตนา....ไม่แปลกใจที่หมอฟันรวยเอาๆ... จะมีสักกี่คนในโลก ที่แปรงฟันถูกวิธีเช่นข้าพเจ้า... (แอบยืดอกคิดอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะหลับไปอย่างสมเพชเวทนาตนเองว่า ถ้าไม่กลัวหมอฟันไปหาเสียแต่เนิ่นๆก็คงไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้......ทุกวัน)..-_-"

๒๕๕๑-๐๘-๑๗

คำตอบอยู่ในกลิ่นซีอิ๊วของร้านเจ๊กกบฏ

วันนี้ได้นอนน้อยมาก ต้องรีบตื่นทำฟัน คุณหมอใจดีถึงกับตกใจเมื่อขูดหินปูนแล้วพบว่า ภายใต้หินปูนเหล่านั้น มีรูผุซ่อนอยุ่หลายๆ...ความประมาทไม่เคยใส่ใจขูดหินเลยของข้าพเข้านั้น ส่งผลให้เกิดคราบฝังแน่นก่อตัวเป็นคอนโดที่แสนแข็งแรงให้แบคทีเรีย ไอ้ที่ว่าจะเสร็จสิ้น ก็เลยต้องมาทำต่ออีกทีตอนสิ้นเดือน.. เจ็บทั้งเหงือก เสียทั้งตังค์..

ไปเซ็นปิ่นซื้อดัมเบลกับที่บีบมาไว้ออกกำลังแขนและข้อมือ กะว่าตอนนั่งผลาญเวลาหน้าคอมจะได้ประโยชน์บ้างถ้ายกดัมเบลไปด้วย.. วันๆไม่ขยันเลยแขนก็เริ่มจะเป็นง่อย มือก็หยิบจับอะไรเป็นตกหล่น..ไม่รู้ว่าเพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบซุ่มเงียบ..หรือจิตใจว่อกแวกแบบซุ่มซ่าม

ก่อนกลับหิวมาก ได้ยินเสียงน้ำย่อยร้องโอเปร่าหมู่อยู่ในกระเพราะเลยแวะกินข้าวที่ชั้น 5 กับเพื่อน หลังจากลังเลโลเลอยู่นานก็ตัดสินใจเลือกเข้าไปนั่งในร้าน "เจ๊กกบฎ" ที่เรียกแบบนี้เพราะตกแต่งร้านแบบจีนๆแต่ไหงป้ายบอกว่าใช้เส้นบะหมี่ภูธรชื่อดัง?.. จริงๆก็หวุดหวิดจะลองร้านที่หลายทีแล้ว เพราะว่ามาทีไรว่างๆทุกที ร้านอื่นๆแถวนั้นคนเต็มต่อคิวกันหมด วันนี้เลยถือโอกาสลองเสียหน่อย เปิดดูเมนูแล้วก็น่ากินดีแถมมีหนังสือพิมพ์แนะนำเสียอีก สั่งอาหารไป ได้ยินเสียงน้ำย่อยโห่ร้องดีใจไป ...

เหมือนมีวิญญาณผีกุ๊กกะทะเหล็กขี่คอ!! รู้สึกสังหรณ์ตะหงิดๆตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าร้าน กลิ่นเค็มๆเหมือนซีอิ้วหกคละคลุ้งไปทั่ว แต่ก็ทำใจว่าเออระบบระบายอากาศมันคงไม่ดี...2 คนสั่งอาหารไป 4 อย่าง โอ..โอ้..โอ๊ว..แล้วในที่สุดปริศนาก็ไขกระจ่าง... บะหมี่เกี๊ยวเป็ด ที่เนื้อเหนียวๆคาวๆเหมือนเป็ดตายค้างมาตั้งแต่รัฐบาลน้าชาติ ลูกชิ้นแคะรสเค็มปะแล่มที่ร้อนครึ่งหนึ่งเย็นครึ่งหนึ่ง เหมือนอุ่นด้วยไมโครเวฟแล้วลืมพลิกด้าน โรยด้วยผักกาดหอมปลายดำๆหงิกงอที่ซื้อมาจากตลาดตั้งแต่สมัยบรรพชนเล่าปี่..บะหมี่ต้มยำรสจืดเหมือนปรุงด้วยน้ำล้างขวดนมเด็กแทนพริกแกง ขนมจีบเนื้อเหม็นหืนเหมือนอาบังพาหุรัดลืมทาสารส้ม...แถมด้วยน้ำเก๊กฮวยขมๆ กับชาดำเย็นจืดสนิท...

นั่งเวทนาตนเองตอนเช็คบิล 268 บาท ไอ้เพื่อนเกลอเพิ่งจะเอ่ยออกมาว่า "กูเคยทำงานร้านอาหาร ไอ้ร้านที่คนแน่นๆน่ะของมันจะสดใหม่มาทุกวัน ส่วนร้านที่คนน้อยๆมันมักจะเอาของเก่าเหลือเก็บออกมาทำเว้ย"..ตอนนี้กูรู้คำตอบแล้วว่าทำไมร้านนี้ไม่เคยคนแน่นว่ะ
..
ข้าพเจ้าอยากตบกะโหลกมันด้วยสันขวานโดยแท้ พร้อมนึกไปถึงปรัชญาในเพลง Blowing' In The Wind อันโด่งดังของ Bob Dylan ที่ว่า "คำตอบนั้น...ซ่อนอยู่ในสายลม" .....
..
ใช่....ข้าพเจ้าน่าจะเอะใจตั้งแต่สายลมพากลิ่นซีอิ๊วแตะจมูกเมื่อย่างเท้าเข้าร้านก้าวแรกแล้วว่า..... เจ๊กกบฏ...อิ่มอย่างราชา...ราชาติและราคาโสน้าหน้ามรึง... -_-"

๒๕๕๑-๐๘-๑๖

อากง..กับหลานอ้วนจอมง่วงนอน

วันนี้เป็นวันที่ได้นอนยาวๆอย่างเงียบสงบ เพราะไม่มีคนอยู่บ้านและไม่มีโทรศัพท์มากระตุกประสาท.... จริงๆแล้วเสียใจอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยเดอะแม่ชวนไปเที่ยวงานอะไรสักอย่างที่เมืองทองธานี แต่ไอ้ลูกทรพีที่เข้านอนเช้าคนนี้มันใจร้าย เลือกนอนอุตุคุดคู้เป็นหมูดอง มากกว่าจะพาเดอะแม่ไปเที่ยว....บางทีข้าพเจ้าก็กระอักกระอ่วนใจกับการเลือก อย่างที่สุภาษิตจีนเขาว่า "บุญคุณต้องทดแทน..ง่วงต้องนอน?..." -_-"

วันนี้เป็นวันสว่างสลับทึมๆ ดูอากาศสับสนเหมือนใจคนยิ่งนัก แดดเปรี้ยงๆกวักมือเรียกชวนให้ซักผ้า แต่พอผ้าเปียก เมฆฝนระดับเอ๊กซ์ตร้าจัมโบ้ก็ปกคลุมทันที.. ครั้นพอเราเลือกจะไม่ตาก มันก็เลือกจะไม่ตกซะงั้น...
"สัจจะไม่มีในหมู่โจรฉันใด...ความกวนตรีนไม่ได้มีแค่ในหมู่คนฉันนั้น (มีในหมู่เมฆและฟ้าด้วย).."

ตอนเย็นนั่งทำตัวโง่หน้าทีวีดูรายการ "ปู่กะหลานกู้อีจู้"อะไรสักอย่างนี่แหละ เป็นรายการที่เอาคนแก่กับหลานๆมาทำภารกิจร่วมกัน ตอนที่ดูนี่เป็นอากงกับอาหลานตี๋อ้วน มาบรรเลงเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ โดยให้อากงสีซอเป็นทำนอง ส่วนอาหลานเป็นคนร้อง.. ดูๆไปก็ตะกุกตะกักปนน่ารักดี ที่น่าสนใจคือตอนรับรางวัลนี่สิ รายการก็ช่างคิด มีให้เลือก 2 อย่าง คือ หนังสือที่หลานอยากอ่าน กับ นาฬิกาที่อากงอยากได้ ...ทางอากงก็อยากตามใจหลาน ทางหลานก็เกรงใจอากง โยนกันไปโยนกันมา สุดท้ายหลานบอกง่วงนอนแล้วให้อากงเลือกละกัน.. อากงอีก็จูงมือหลานมาที่หน้าชั้นหนังสือแล้วบอกว่า "หลานเอ๊ย ที่อยู่ตรงหน้า...นี่คือความรู้ ความรู้ที่เจ้าจะใช้ไว้เลี้ยงตัวได้ในภายภาคหน้า ซึ่งมันสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น.."

หลานอ้วนนิ่งไปพักใหญ่ ลุงพิธีกรถามว่าพูดอะไรกับอากงหน่อยครับ อีก็หันไปพูดเสียงสั่นๆว่า "ง่วงนอนจังครับ "..... อากงค่อยๆดึงหลานเข้ามากอด ส่วนอาหลานก็ร้องไห้ฮือๆกับพุงเหี่ยวๆใต้เสื้อของอากง แบบแอบๆไม่ให้ใครเห็นชัด....

ข้าพเจ้าเชื่อว่ามันไม่ใช้น้ำตาที่ออกมาจากความง่วง...... มันน่าจะเป็นน้ำตาชนิดเดียวกับที่ไหลออกมาจากตาข้าพเจ้าตอนนี้...

๒๕๕๑-๐๘-๑๕

ยายผีหลอก?.....

.. 555 ทายซิว่าวันนี้ข้าพเจ้าตื่นเพราะอะไร.... เดจาวูเอฟรี่เดย์ แน่นอนว่าเป็นเสียงโทรศัพท์ (แต่คราวนี้ไม่ได้เงิน)..555

กระวนกระวายใจตั้งแต่เมื่อวาน ของที่สั่งซื้อทางเว็บ และส่ง EMS มาตั้งแต่ 2 วันก่อน ในก.ท.ม.ด้วยกันแท้ๆทำไมไม่ถึงสักที มนุษย์จอมเฉื่อยชาเออออห่อหมกเย็นชืดข้างคืนเช่นข้าพเจ้าได้แต่บ่นๆๆๆ จน"เดอะแม่" ได้ยินเข้าจึงเค้นเอาหมายเลขพัสดุจากข้าพเจ้า และบอกว่า "อะไรทำไมไม่ตามแบบนี้มันผิดปกติแล้ว ปล่อยไว้ได้ยังไง" สุดท้ายท่านเดอะแม่โทรเช็คตามจี้ให้จึงได้ความว่า ของมาตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่ไม่มีคนอยู่บ้านเลยตีกลับไปอยู่ไปรษณีย์ .. เดอะแม่อาสาไปเอาให้เนื่องด้วยข้าพเจ้าออกจากบ้านมาทำงานแล้ว..นี่แหละหนา มีเดอะแม่ดี เป็นศรีแก่เดอะลูกจอม(แฉะแบะ)จริงๆ ถ้าไม่ได้เดอะแม่ ข้าพเจ้าคงรออย่างไร้จุดหมายเก้อไปอีกหลายวันกว่าของจะวนมาส่งอีกรอบ และถ้าไม่มีคนอยู่บ้านเซ็นรับอีก ของก็ตีกลับอีก จักต้องวนๆเป็น Loop มรณะที่ไร้ก้นบึ้งจุดจบตลาดกาลนานเทอญ.....

เมื่อคืนเปิดหูเปิดตาออกจากถ้ำไปกินผัดไทยประตูผีกับเพื่อน โอ้.สาธุชน...ร้านริมถนน ผัดไทยกุ้งสดห่อไข่ ราคา จานละ 70 บาท ส่วนข้าพเจ้ากระแดะสั่งแบบทรงเครื่อง ปาเข้าไป 150 บาท.. +_+" น้ำส้มคั้นขวดละ 70 บาท ..ร้านติดกันอาการหนักกว่า ขายหมี่แห้ง ผัดซีอิ๊ว เกาเหลา ฯลฯ ทุกสิ่งอย่าง 200 บาท!!.. เหอๆๆๆ ข้าพเจ้ากินเสร็จรู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตเยี่ยงราชาโง่พิกล บางทีที่มาของชื่อ "ประตูผี" อาจหาได้มีผีมาหลอกไม่ .. แต่เป็นร้านอาหารแถวนั้นต่างหาก ที่กำลังหัวเราะพลางมองลูกค้าทั้งหลายขย้อนอาหารเข้ากระเพาะพลางเหอๆๆ 555"....

ก่อนกลับตอนนั่งกินๆอยู่ มียายแก่คนหนึ่งอายุสัก 70-80 นั่งแฝงตัวในร้านร่วมครึ่งชั่วโมงได้ ค่อยๆเดินมาหาลูกค้าทีละโต๊ะ พร้อมเอาถุงหมูหยองวางตรงหน้า พูดด้วยเสียงอันดังว่า "เอาป่าว?.." ..เท่าที่ดูไม่มีใครเอาเลย รวมทั้งโต๊ะข้าพเจ้ายายแกก็ไม่ตื๊ออะไร หันไปดูอีกทีก็หายวับไปในพริบตา

ข้าพเจ้านึกขำกับเพื่อน วิธีการขายของแกสั้น กระชับ เข้าตรงเป้า และประหยัดพลังงานดีแท้ ไม่ต้องป่าวร้องว่าขายอะไร ขายเท่าไหร่ บรรยายสรรพคุณลดแลกแจกแถมดีอย่างโน้นอย่างนี้ หรือเรียกร้องความเห็นใจอย่างแม่ค้าชรารายอื่น... แค่เอาสินค้ามาวางตรงหน้าในระยะประชิด แล้วพูดดังๆว่า "เอาป่าว?" .......................... อืม..หรือว่าจริงๆแกเป็น ยายผีหลอก ประจำประตูผีกันแน่นะ?

๒๕๕๑-๐๘-๑๔

งานศพข้าพเจ้ากับ ไอ้คุณหมอนี่

..อา..เหมือนเดจาวู เดจาวู และเดจาวู .. วันนี้ก็ตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์อีกแล้ว และเรียกไปอ่านสปอตอีกแล้ว เวลานอนของข้าพเจ้ามักเป็นเวลาทำงานของคนอื่น ข้าพเจ้านั่นแหละที่ผิด เพราะดันทำตัวไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ ตราบที่เชื่อในประชาธิปไตย ย่อมหมายความว่า ประชาธิปไตยในการนอนกลางคืนตื่นตอนเช้าย่อมถูกกว่าระบบเผด็จการนอนเช้าตื่นบ่ายของข้าพเจ้า.....

เมื่อวานค่ำๆนั่งอ่านข่าวหนุ่มคนหนึ่งซึ่งทำงานที่เดียวกับข้าพเจ้า ประสบความสำเร็จมีตำแหน่งใหญ่โตเงินเดือนมากมายแฟนน่ารัก... อ่านไปอ่านมาก็พบว่า อ้าว!คุณ"ไอ้หมอนี่"เป็นรุ่นน้องระดับมัธยมโรงเรียนข้าพเจ้านี่นา .. ความอิจฉาริษยาทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ จากเดิมที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับคุณไอ้หมอนี่อยู่แล้ว ด้วยท่าทางบุคลิก (ทั้งที่คนอื่นๆชอบมัน)...ข้าพเจ้าหวนคิดถึงและถามตนเองพลางๆว่า ทำบ้าอะไรอยู่ ... ข้าพเจ้า Search ชื่อหมอนี่ในกูเกิ้ล พบเป็นร้อยๆหัวข้อ ในขณะที่ Search ชื่อตนเองไม่พบแม้แต่ข้อเดียว.. งานศพของข้าพเจ้า ท่าทางจะมีแขกเหรื่อน้อยกว่าคุณ"ไอ้หมอนี่"..

ยิ่งกว่านั่นเมื่อครู่นี้ยังเจอคุณน้องที่ข้าพเจ้าแอบปลื้มมากับพี่สาว ที่ขับรถสุดหรูราคาหลักล้านเสียอีก ยิ่งตอกย้ำให้สะท้านทรวงว่า เออหนอความร่ำรวยนี่มันทำให้ออร่าเสน่ห์มนุษย์สว่างไสวดีเหมือนกันเนอะ .. โชคดีที่ก่อนจะฟุ้งสมองไปมากกว่านี้ คุณน้องน่ารักนั่นยกมือสวัสดีทักทายข้าพเจ้าด้วยรอยยิ้มระดับน่ารัก x 10 ^_^ พร้อมสนทนาอย่างเป็นมิตร

ข้าพเจ้าค่อยมีเรียกสติคืนมาพร้อมคิดได้ว่า "มนุษย์เรานั้น รวยใดจะเท่ารวยความพอใจในตัวเองและสิ่งที่ตัวเองมี" ฟังดูเหมือนข้ออ้างของคนเฉื่อยชาที่ไม่ทะเยอทะยาน แต่ข้าพเจ้ารู้สึกแบบนี้มานานมากแล้ว และคงหามนุษย์เพศเมียที่มีแนวคิดใกล้เคียงกัน..บางทีการเป็น Somebody ของคนอื่นในสังคมโลก....ก็ไม่ได้มีค่ามากกว่าการเป็น Nobody ที่เป็น Your body ของเราเอง ส่วนไอ้การอิจฉาความสำเร็จชาวบ้านไปก็ร้อนใจเปล่าๆ..และ การตัดสินคนอื่นจากบุคลิกภายนอกเป็นเรื่องที่เขลาโง่นัก เพราะตัวข้าพเจ้าเองก็มีบุคคลิกที่ไม่เป็นมิตรและกวนส้นตรีนผู้อื่นอยู่บ่อยๆกับคนที่ไม่รู้จัก อยู่เช่นกัน...

ปล.ขณะพิมพ์บล๊อกนี้อยู่ก็มี ช่างภาพหนุ่มปริญญาโท เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเคยได้รางวัลมากมายระดับชาติ มาเสนองาน ที่มีแต่คนกรี๊ดๆๆ ให้ทีมข้าพเจ้าอีกแล้ว..อ่านประวัติคุณไอ้หมอนี่(เบอร์2) แล้วก็ยิ้มว่าไหงโลกมันกลมจริงฟะ... มันเป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยที่คณะข้าพเจ้าเอง... ลองทายซิว่า งานศพของข้าพเจ้ากับไอ้คุณหมอนี่เบอร์2 .. ใครจะมีคนไปร่วมงานมากกว่ากัน ^_^


๒๕๕๑-๐๘-๑๓

รอยยิ้มของ"หลินเมี่ยวเข่อ"บนเสียงเงียบของ"หยางเพ่ยอี้"

...ตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์อีกแล้ว ดีหน่อยที่เป็นโทรศัพท์ทรัพย์ เรียกไปอ่านสปอตราคาขี้ (ข้าพเจ้ามักถูกเรียกใช้บ่อยๆ เนื่องจากรับงานราคาถูกเหมือนขี้..จะขึ้นก็กลัวลูกค้าหนี).. รีบๆล่กๆรีบมาออฟฟิศ นั่งฟังธรรมมะท่านพุทธทาสไปตลอดทาง เพราะรู้สึกพักนี้จิตใจฟุ้งซ่านเหลือเกินจากการหยุดยาว 4 วัน มาออฟฟิศมีอะไรทำก็รู้สึกดีขึ้น ส่วนหนึ่งคงเพราะมีสมาธิกับงานจนไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับตนเอง เดี๋ยวนี้ก่อนนอนต้องสวดมนต์ทุกคืน(เช้า) แรกๆก็เพราะอยากทำให้ใจสงบบรรเทาจาก อาการไม่กล้านอนกลัวการหลับ แล้วก็เปลี่ยนมาสวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนที่ป่วย ล่าสุดกลายเป็นสวดเพื่อง่วงไปซะแล้ว เพราะยิ่งสวดก็ยิ่งยาว พอสวดยาวๆซ้ำๆไปมาสมองก็ง่วงโดยอัตโนมัติ ซึ่งก็ดีเหมือนกัน

ตอนนี้ข้าพเจ้าอ้วนขึ้นกว่าเมื่อสัก 3 เดือนก่อน ร่วม6-7 กิโลกรัม ผลพวงจากบอลยูโรที่ทำให้หิวดึกๆ กินดึกๆก่อนนอน ร่างกายเลยบวมขึ้นจากคนตัวโตหน้าตาดี กลายเป็นคิงคองยักษ์หน้าตาดีไปแล้ว ^_^ ตั้งใจจะออกกำลังกายให้ได้วันเว้นวัน ยิ่งอ้วนก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแอทั้งกายใจ แถมยังเปลืองอาหารกับพลังงานต่างๆบนโลกอีก .. บางอารมณ์ข้าพเจ้าแอบคิดแบบขี้ตู่ว่า ถ้ามีแฟนหรือเป้าหมายที่อยากให้เป็นแฟน ข้าพเจ้าน่าจะลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้

อ่านข่าว "หลินเมี่ยวเข่อ"หมวยน้อยสุดน่ารักที่ออกมาร้องเพลงในพิธีเปิดโอลิมปิก 2008 จนคนหลายพันล้านชื่นชมกลายเป็นเรื่องลวงโลก เพราะความจริงเป็นการลิปซิงค์เสียงร้องของหมวยน้อยอีกคน เนื่องจากเหตุผลแปลกๆว่า หนูน้อยที่ร้องจริง "หยางเพ่ยอี้"เสียงดีแต่ไม่น่ารักพอและฟันไม่สวย โดยทางผู้จัดต้องการให้พิธีเปิดสมบูรณ์แบบจึงตัดสินใจเช่นนี้

ส่วนฝ่ายหนูน้อยหยางเจ้าของเสียงบอกว่า "หนูไม่เสียใจเลย หนูรู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นคนร้องเพลงนี้"..... ข้าพเจ้าอ่านแล้วรู้สึกสังเวช...ในผลประโยชน์ของผู้ใหญ่ ที่ต้องแลกด้วยความภาคภูมิใจอันไร้เดียงสาของเด็ก ...ที่เสียงเพราะๆของเธอต่อหน้าคนทั่วโลกค่อยๆลอยหายไปในสายลมอย่างเงียบงัน.....


๒๕๕๑-๐๘-๑๒

ผลาญเวลาไปเรื่อยๆ อย่างเฉื่อยๆ..เช่นเคย

เมื่อคืน(เช้า)หลับไปประมาณ 7 โมงได้ พอสายๆ 9 โมงกว่า ช่างมาทำท่อแอร์รั่ว ก็เลยต้องนอนทั้งๆที่เสียงดังและร้อน สักเที่ยงแอร์ก็ใช้ได้ ข้าพเจ้านอนต่อ ถึงประมาณ บ่าย 2 แล้วก็ตื่นขึ้นมาผลาญเวลาชีวิตดั่งเคยๆ...

วันนี้ฟ้าครื้มมืดๆ ฝนตกทั้งวัน บรรยากาศน่าอึดอัดยิ่งนัก ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากทำอะไร แค่หายใจยังรู้สึกเหนื่อย แขนขาก็ไม่มีแรงหนักกว่าเมื่อวาน คิดในแง่ดีก็อาจจะเพราะเมื่อคืนวิ่งออกกำลังกายก็ได้เลยล้าๆ พักนี้จิตใจข้าพเจ้าอ่อนแอก็อาจพานทำร่างกายอ่อนแอไปด้วย อาการปวดต้นคอเรื้อรังยังคงทรมานทรกรรม บางทีข้าพเจ้าก็สับสนว่าอาการต่างๆที่เป็นนี่เพราะว่าจิตคิดไปเองหลอกตนเองจนเชื่อ หรือว่าร่างกายมันป่วยจริงๆ อย่างไรก็ตามถ้าจัดอันดับคนไม่ชอบไปหาหมอ ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ติด 1 ใน 1000 ของโลกนี้แน่นอน

ตอนบ่ายแก่ๆไฟฟ้าดับเกือบ 2 ช.ม. ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนฆ่าเวลา ทั้งที่รู้ว่าฆ่าไปเวลามันก็ไม่ตาย ยังดีที่ฝนพรำๆทำให้อากาศไม่ร้อนนัก ชีวิตคนเมืองแบบนี้ถ้าขาดไฟฟ้าสักอย่าง ก็คงเหมือนถอดแบตเตอรี่ออกจากร่างกาย ทำอะไรไม่ได้เสียเลย ดูข่าวน้ำท่วมเชียงใหม่ ทำเอาระทึกเล็กๆเกี่ยวกับคำทำนายน้ำท่วมใหญ่ ก.ท.ม. ปลายเดือนนี้ถึงเดือนหน้า ไม่รู้หรอกว่าจริงไหม แต่โลกเรามักเป็นแบบนี้ สิ่งที่อยากให้เกิดมันไม่เกิด สิ่งที่ไม่ต้องการมักวิ่งมาหา...

ในที่สุดความตั้งใจที่จะอัพบล๊อกที่บล๊อกแก๊งค์ก่อนวันแม่ ก็เป็นหมันไป ... นี่คือข้อเสียของข้าพเจ้า นักยืดเวลาตัวยง...
วันนี้ผ่านไปอย่างเรื่อยเปื่อยเฉื่อยๆและไร้คุณค่าสิ้น บล๊อกแห่งนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก ไม่ค่อยมีคนมาอ่าน ไม่รู้เหมือนกันว่าดีรึไม่ดี แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้....ภายในใจอันเปลี่ยวเหงา ข้าพเจ้าอิจฉาคนที่สุขภาพกายและใจดี.....และมีเพื่อน.......ยิ่งนัก..

๒๕๕๑-๐๘-๑๑

ซารางแฮโย .. โอม่า นะเออ

เมื่อคืนนอนได้ 8 ช.ม. แต่ตื่นมาก็ยังรู้สึกไม่แข็งแรง และง่วงอยู่ดี วันนี้ทั้งวัน ร่างกายไม่มีแรง แขนขาข้าพเจ้าเหมือนมิใช่ของข้าพเจ้า ร่างกายข้าพเจ้าเหมือนมิใช่ของข้าพเจ้า ฤาที่แท้ นี่ข้าพเจ้ากำลังสิงร่างใครอยู่??...

วันทั้งวันที่มิใช่วันหยุดแต่หยุดเอาเอง ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมกมุ่นอยู่หน้าคอมก็ผลาญเวลาไปได้มากมาย สิ่งที่คาดว่าจะทำ ก็คงได้แต่คาดต่อไป รู้ตัวอีกที พรุ่งนี้ก็วันแม่แล้ว ภารกิจต่างๆยังไม่สะสางเลย ความดีหนึ่งเดียวที่ทำในวันนี้ คือการออกกำลังกาย หลังจากขี้เกียจตัวเป็นขนหมูป่ามานานับเดือน วันนี้ก็วิ่งซะหน่อย วิ่งเสร็จ ไม่ได้รู้สึกแข็งแรงขึ้นอยู่ดี แถม แขนขาพานจะหมดสภาพกว่าเก่า จะยกทีต้องตั้งสติ คำถามเดิมลองมาในหัว "ฤาแท้จริงแล้ว..ข้าพเจ้าสิงร่างใครอยู่?"

หลังออกกำลังกาย อาบน้ำแล้วเข้าไปตากแอร์ในห้อง"เดอะแม่" ... รู้สึกในบัดดลเลยว่า สดชื่น สบายใจจริงๆ กลิ่นเฉพาะตัวของ เดอะแม่ นั้นอธิบายยาก ทั้งที่ไม่หอม เพราะมันตีกันมั่วผสมทั้งกลิ่นยาดัดผม แป้ง เครื่องสำอางค์ และอื่นๆๆ แต่เป็นกลิ่นที่ อบอุ่น สบาย ผ่อนคลายวางใจ...

พรุ่งนี้วันแม่ ข้าพเจ้าก็ยังคงไม่กล้าบอกรักเหมือนทุกปี แต่ปีนี้ว่า จะลองบอกกลายๆเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซารางแฮโย..โอม่า" เอาให้เดอะแม่ฟังไม่ออกแบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องเขินอาย ส่วนความหมายของมันให้ข้าพเจ้ารู้คนเดียวก็พอแล้วว่า "รักแม่นะเออ"... ^_^

๒๕๕๑-๐๘-๑๐

ยาจกแร้ แพ้ทำฟัน

เมื่อคืนทำโน่นนี่นั่นแน่...จนเข้านอน เกือบเช้าเช่นเคย...สันดานเริ่มอัพเกรดเป็นสันดอน... ตื่นมาเที่ยงด้วยเสียงโทรศัพท์อีกแล้ว รีบอาบน้ำแต่ตัวออกไป ทำฟันตามนัด ..

วันนี้เป็นขั้นตอนการหล่อปบบพิมพ์ฟันซี่ที่จะทำครอบ ทรมาน ทรมาน และทรมาน ไม่ได้เจ็บอะไร แต่ต้องอ้าปากค้างนานมากๆ ข้าพเจ้ารู้สึกตนเองจำแลงกายเป็นปลาหมอที่ถูกขอเกี่ยวปากอ้าไว้ในตลาด รอลูกค้ามาพิสูจน์ความสดของเหงือกแดงๆ อย่างไรอย่างนั้น ที่หนักหนาที่สุดคือ ต้องเอาแม่พิมพ์ มาครอบฟันไว้ บนสลับล่างหลายๆรอบ อ้าปากค้างนานๆโดยมีบางอย่างแข็งๆครอบฟันลึกเข้าไปในปาก น้ำลายก็กลืนไม่ถนัด กลัวก็กลัว และในรอบสุดท้าย ข้าพเจ้าก็พลาดแก่ความอ่อนแอในใจตนเองจนได้..

ยังไม่ทันทีคุณหมอใจดีจะเอาแม่พิมพ์ออกจากปาก ข้าพเจ้าก็สุดทนทะลึ่งตัวเด้งขึ้นมาล้วงเอามันออกไปเสียก่อน เพราะรู้สึกอยากอาเจียนจนทนไม่ไหว รู้ทั้งรู้ว่าจริงๆอาการแบบนี้กลัวไปเอง จิตคิดฟุ้งไปเองแต่ก็ยังข่มไม่สำเร็จ.. อับอายเหลือเกิน โชคยังดีที่แม่พิมพ์นั้นเริ่มแข็งตัวเพื่อเอาไปใช้งานหล่อของจริงได้บ้างแล้ว มิฉะนั้นข้าพเจ้าคงต้องทรมานอีกรอบพร้อมน้ำตาเล็ดจากการเสียเงินเพิ่ม หลายพันเป็นค่าน้ำยาที่เสียไปฟรี...

กลับมาบ้านเจ็บระบบบริเวณฟันที่ทำวันนี้ รู้สึกเหมือนโดนก้างปลาทิ่มคาไว้ คงต้องรอดูอาการอีกระยะว่าเป็นแผลจากการฉีดยาชา หรือมีอะไรอักเสบ ... สรุปหลงจ้งค่าทำฟัน 2เดือนที่ผ่านมาเสียไปร่วม 16,000 แล้ว และยังคงอาจจะมี ค่าขูดหินปูน + ฟอกสีฟันอีก ประมาณ 10,000 ...!!! ข้าพเจ้าควักเงินจ่ายไปด้วยอารมณ์สมองเริ่มออกก่งก๊ง .. เคยได้ยินแต่หนังจีนเรื่อง ยาจกซู ... วันนี้ มี "ยกจกแร้" เพิ่มขึ้นมา - -"

ก่อนกลับ คุณหมอใจดีสอนวิธีแปรงฟันที่ถูกต้อง..ไม่น่าแปลกใจเลยทำไมคนไทยฟันผุเยอะ ก็ไอ้ที่สอนในโรงเรียนตั้งแต่เด็กๆนั่นน่ะ มันผิดชัดๆ ปัดขึ้นปัดลงอีก 10 ชาติ ฟันก็ไม่สะอาดหรอกเฟ้ย !! เหอๆๆ ......ท้ายสุด โดนชวนขึ้นเรือไปทำบุญ 9 วัด เดือนหน้า เพื่อศิริมงคลชีวิตอ้วนๆ .. โดยมีค่าใช้จ่าย 1,900 บาท ไม่รวมเงินทำบุญ....โอ อยากเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาในบัดดล !!

๒๕๕๑-๐๘-๐๙

ข้าพเจ้าจักละเมิดลิขสิทธิ์บัดเดี๋ยวนี้!!

เรื่องทวารบาลอุ่นใจได้ตามคาด จำนวนการอึลดลงเข้าระดับปกติตามคาดหมาย วันนี้อึแค่ครั้งเดียว...แต่ง่วงมากเพราะนอนไปแค่ 5 ช.ม. ว่าจะนอนเร็วแต่สุดท้ายก็เกือบ 6 โมงเช้าอีกจนได้ และยังไม่ทัน 11 โมงดี เพื่อนก็โทรมาหา จะหลับต่อก็ไม่ลงเสียแล้ว เลยตื่นมาดูรายการของ น้องสาว Siska เพลินๆไปพลางๆ อย่างง่วงๆ..

ตอนกลางวันได้ข่าวดีว่า เพื่อนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งเส็งเคร็งใจร้ายอยู่ อาการไม่หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด แต่ที่หมอห้ามเยี่ยมก็เพราะว่า เธอแพ้ยาอยู่...เฮ้อโล่งใจไปที หลังจากใจเสียไปเพราะพี่แอ๊วยอดรักก็เพิ่งเสียเมื่อคืนด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน.....ตอนบ่ายออกไปซื้อสลากของ ธ.ก.ส. อุตส่าห์เลือกกล้วยไม้ชื่อ เอื้องแปรงสีฟัน เพราะเห็นว่าซื้อสลากชื่อนี้จะส่งผลให้เราฟันไม่ผุ ที่ไหนได้ พนักงานธนาคารดันบอกว่าสายไปแล้วค่ะ หนูคีย์เข้าคอมเป็น เอื้องเทียนใหญ่ไปแล้ว...

หลังจากนั้นก็เข้าสู่โหมดภารกิจผลาญเงินเต็มตัว ทั้ง CD และของเล่น กางเกง หมดไปหลายพันกระนั้นก็ยังมีกิเลสหนาๆอยากได้อีกหลายอย่างมากมาย อนึ่งการที่ร้าน CD ปิดตัวลงไปมาก กลับกลายเป็นส่งผลให้ข้าพเจ้าตัดสินใจซื้อCD ง่ายขึ้นและยอมจ่างแพงๆโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะว่า ถ้าพลาดแล้ว กลัวจะหาซื้อภายหลังไม่ได้อีกนั่นเอง ทุกวันนี้ที่ผู้คนสะกดจิตตัวเองและผู้อื่นว่าเพลงคือของที่ต้องได้มาฟรีๆ.. CD ก็กลายเป็นของหายากไปซะแล้ว..

แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ ซื้อ DVD ลิขสิทธิ์ของแท้หนังเกาหลีเรื่องที่อยากดูมากมา 1400 บาท ทั้งที่หาในเว็บของเถื่อนง่ายๆได้ใสราคาแค่ 2 ร้อยกว่าบาท แต่ข้าพเจ้าก็ยอมจ่ายเพราะหวังสนับสนุนเจ้าของลิขสิทธิ์จะได้นำหนังดีๆเข้ามาให้เราดูอีก ...กลับมาบ้านหวังใจว่าจะอิ่มสุข ที่ไหนได้...

แร้ไฟ กลายเป็นแร้ฟายในบัดดล DVD ลิขสิทธิ์ของแท้ที่ซื้อมา มีให้เลือกฟัง พากษ์ไทย หรือเสียงต้นฉบับเกาหลี ข้าพเจ้าเลือกฟังเสียงต้นฉบับด้วยหวังความอภิรมย์สมจริง ก่อนจะตะลึงงันกับความจริงอันปวดร้าวสะท้านไปถึงแก้มก้นว่า ................................................. มันไม่มี ซับ ให้เลือก!! โอว..เหมือนประหนึ่งได้ยิน คนผลิต DVD ชุดนี้ลอยมาหัวเราะด้านหลังข้างใบหูว่า .."เหอๆๆ มึงต้องดูพากษ์ไทยเท่านั้นถึงจะรู้เรื่อง เปิดเสียงเกาหลีไปก็โดนหลอกควายเพราะตูไม่ทำซับให้ มีอะไรอ๊ะป่าวริกระแดะฟังเสียงต้นฉบับก็ไปเรียนภาษาเกาหลีเองสิโว้ย โสน้าหน้า โสน้าหน้า ฮี่ๆฮ่าเหอๆๆ"

นอกจากนี้คุณภาพความคมชัดยังอุบาทว์อุบัติสิ้นดี ลดบิตเรตจากต้นฉบับเมืองนอกเสียจน ภาพเป็นเม็ดหยาบๆ เกรดระดับ SVCD ชัดๆหน่อยเท่านั้น เสียชาติเกิดมาเป็น DVD โดยแท้.... ลดต้นทุน ด้วยการลดความคมชัดลงและตัดซับไตเติ้ลทิ้ง เพื่อผลิตออกมาขายยัดทะนานลงไปได้พอในความจุ 8 แผ่น หาใช่ 11 แผ่นเหมือนเวอร์ชั่นประเทศอื่นเขาขายกันอยู่เมืองนอกไม่ ....นี่หรือ ของแท้ลิขสิทธิ์ที่ข้าพเจ้าอุดหนุน!!! ....

ฉับพลันที่สติกลับคืนมาหลังช็อกกับเงิน 1400 ที่เสียค่าแปลงร่างเป็นควาย..ข้าพเจ้าเข้าเว็บสั่งซื้อ DVD เถื่อนละเมิดลิขสิทธิ์ในทันใด...ไม่ได้สั่งเรื่องเดียว แต่ 4 เรื่องไปเลย....
..
..
กะว่าได้ของเมื่อไหร่ จะเอาไปอวดที่หน้าบริษัทขายของแท้ ให้มันอิจฉาเล่น "โสน้าหน้า โสน้าหน้า ตูซื้อถูกกว่าชัดกว่าแถมมีซับภาษาไทย ...เหอๆๆๆ....."

๒๕๕๑-๐๘-๐๘

โรคใจร้ายสกรัมเพื่อน ทำ แร้ฟาย หดหู่

... วันนี้ไม่ได้ใส่ใจกับอาการอึและทวารบาลมากนัก แม้เมื่อคืนจะเข้าห้องน้ำอีก 2 รอบ นับว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น (เมื่อวานซืนเข้า 4 รอบ เมื่อวานลดลง 3 รอบ)... ที่ไม่ใส่ใจแล้วก็เพราะจิตใจหดหู่มืดมนกับข่าวร้าย...

เมื่อวานค่ำๆได้ข่าวว่าเพื่อนสนิทที่ออฟฟิศคนหนึ่ง ที่ป่วยสารพัดโรคและเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอยู่หลายปี อาการทรุดหนักลงจนหมอไม่ให้เยี่ยม... เธออายุ 28 เท่านั้นเอง แต่ป่วยด้วยโรคเลือดเป็นพิษ และพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูก ก่อนจะรับการรักษาแล้วได้ผลข้างเคียงกลับมาคือมะเร็งปอด .. เพื่อนคนนี้เป็นสาวน่ารัก ร่าเริง มีน้ำใจ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า คุณมะเร็งใจร้ายจัง ทำไมต้องมารุมสกรัมยำตีนใส่เธอแบบนี้ด้วยหนอ?..

ข้าพเจ้าเสียใจกับตัวเองเหมือนกันที่ตั้งใจจะไปเยี่ยมเธอตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อนแต่ไม่ได้ไป พอตอนนี้จะไปหมอก็ไม่ให้เยี่ยมแล้ว เมื่อคืนเลยสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้เธอ หวังว่าเธอจะได้รับและจิตใจสงบระงับร่มเย็นดี เธอเข้มแข็งกว่าข้าพเจ้ามากมายนัก โรครุมเร้าขนาดนี้ ทุกครั้งตอนเจอกันที่ทำงานก็ยังคงมีแต่รอยยิ้มให้เพื่อนๆเสมอ....ข้าพเจ้าอายตัวเองในวันที่อ่อนแอเหลือเกิน

ตั้งแต่เมื่อคืนถึงวันนี้ เรื่องเก่าๆลอยมาในหัว ทั้งเพื่อนเก่าๆ และ แฟนเก่า... สุดท้ายแล้วทุกคนมาผูกพันกันเพียงช่วงเวลาหนึ่งก็ต้องจากกันไป แล้วตัวข้าพเจ้าล่ะ..จะผูกพันกับตนเองไปอีกนานสักเท่าไหร่....และเมื่อไหร่จะเลิกนอนเช้าเสียที ไอ้บ้าแร้ไฟ ที่เริ่มจะกลายเป็น "แร้ฟาย" ..

๒๕๕๑-๐๘-๐๗

รอคุณพูจ้า..แบบไม่น่าเบื่อ

..วันนี้อาการอึตึงตูดของข้าพเจ้ายังมีอยู่ แต่ดีขึ้นเล็กน้อย เพราะอึไม่ค่อยเหลวเป๋วแล้ว กระนั้นก็ยังอยากอึบ่อยๆอยู่ดี โชคดีที่เป็นความอยากในปริมาณที่อั้นได้ วันนี้เลยเพิ่งเข้าห้องน้ำไป 1 รอบ (เมื่อวานเข้า 4 รอบ รอบละนิดหน่อย).... วันนี้ข้าพเจ้ามาทำงานสาย..เหมือนกับทุกวัน ข้าพเจ้ามีปัญหาในการนอนหลับจริงๆ กว่าจะง่วงก็ต้องหลังตี 4-5 ไปแล้วทุกวัน เป็นนิสัยสันดานที่ใกล้จะถาวรเต็มที่หากไม่ได้รับการแก้ไข....

แต่กรณีวันนี้ยังพอจะมีข้ออ้างได้บ้าง เพราะเมื่อคืนกว่าจะออกจากที่ทำงานก็ตี 2 นัดคุยงานกับคุณพูจ้า ตอน 5 โมงเย็น แต่ได้เข้าคุยจริงๆก็เกือบเที่ยงคืน .. คุณพูจ้าเป็นหัวหน้าใหญ่ในสายงานข้าพเจ้า เป็นบุคคลที่คิวทองยิ่งกว่าดารานักร้องดังเปรี้ยงปร้าง เนื่องจาก ทุกฝ่ายต่างต้องปรึกษางานกับเขา ก่อนดำเนินงานใดๆอย่างจริงจัง... จริงๆแล้วคุณพูจ้าเป็นคนสนุก และมักทำให้คนที่ร่วมงานด้วยสนุก เว้นแต่การรอคอยที่ไม่สนุก... ไม่มีใครที่เคยได้เข้าพบคุณพูจ้าตามเวลานัด .. หรือที่ร้ายกว่านั้น บางคนนัดวันนี้แต่ต้องต่อคิวข้ามไปอีกวัน ... เพระการคุยของคุณพูจ้าแต่ละครั้ง ไม่มีใครกำหนดเวลาได้เลยว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ในแต่ละคิว.... นี่แหละหนาชีวิตผู้บริหาร.......... ที่ไม่อาจบริหารเวลา

พูดถึงการรอคอยเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก แต่บางครั้งการรอคอยก็ทำให้เห็นอะไรที่ไม่เคยสนใจได้เหมือนกัน อย่างเช่นการรอคุณพูจ้าร่วม 7 ชั่วโมง... ข้าพเจ้าใช้เวลาอันน่าเบื่อนั้นโหลดคลิป ดาราสาวเกาหลีที่ชอบได้ตั้งหลายอันเอาไว้ดูเพลินๆ อย่างน้อยก็ตอนที่รอคุณพูจ้าครั้งต่อไป ข้าพเจ้าคงอารมณ์ดีขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้นชื่อว่าคนน่ารัก ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเนอะ.....เหอๆๆๆ.. 555 ...ฮี่ๆๆ...โฮ่ๆๆ

๒๕๕๑-๐๘-๐๖

ข้าพเจ้าอึเหลวตึงทวารพิกล

2-3 วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกปวดอึตลอดวัน จริงๆก็เป็นแบบนี้มา 3 วันได้ อาการทางทวารหนักมันแปลกๆ ถ่ายออกมาเหลวๆ แต่ไม่มาก ท้องมันมวนๆ อึไปแล้วก็อยากอึอีก ผ่านไป ไม่กี่ช.ม.ก็อยากอึอีก ไอ้ครั้นพอเข้าห้องน้ำอีกทีก็ไม่ค่อยออก คุณอุจจาระดูจะลังเล..ขยักขย่อนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต ..

ข้าพเจ้าลองนึกทบทวนก็ไม่พบอาหารใดที่น่าแปลกใจหรือเสี่ยงต่ออาการท้องเสียซ่อมยาก ก็ทานของเดิมๆที่แม่ทำ มีอาหารสำเร็จรูปบ้างแต่ก็ไม่มีส่วนผสมของกะทิ หรือทิ้งไว้ข้ามคืน อีกทั้งอาการอุจจาระลังเลก็ไม่ได้หนักหนาขนาดร่างกายทรุดโทรมเหมือนเวลาท้องเสียหนักๆโดยทั่วไป มันออกแนวอยากอึบ่อยๆ ขยันออกกำลังทวารกับอุจจาระเหลวๆมากกว่า..

ข้าพเจ้าแก้ปัญหาเบื้องต้นโดยการกินยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน อย่างที่เคยบ่อยๆ พอทานปุ๊บก็เหมือนอาการอึตึงตูดจะบรรเทาไปปั๊บ แต่พอผ่านไปสักพักก็ตึงท้องและตูดอีก พอทานยาอีกอึก อาการก็หายอีก ดูเหมือนคุณอุจจาระกลัวๆกล้าๆ อยากออกมา แต่ไม่ไว้ใจยากระต่ายบิน เลยต้องขยับเข้าออกดูเชิง...

อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าคิดจะดูอาการไปอีกสัก 2-3วัน หวังว่าจะไม่ซวยขนาดเป็นมะเร็งลำไส้..เห็นคนเป็นกันมากอย่างกับแฟชั่น... แต่ข้าพเจ้ามันพวกหัวโบราณแอนถีก ก็คงไม่เป็นหรอกเนอะ....