๒๕๕๑-๑๐-๒๒

VIRUS หมูน้ำ !...

.. คิดถึง "น้องหมูน้ำ" มาหลายเดือนแล้ว...
ผมรู้จักน้องหมูน้ำเมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว น้องหมูน้ำเป็นเด็กสาวม.ปลายที่ทั้งน่ารัก เก่ง และมีความรับผิดชอบสูง ผ่านงานโฆษณามาหลายอยู่ เล่นละครมาบ้าง ร้องเพลงก็ใช้ได้ ช่วงที่ได้ร่วมงานกับเธอ ทำให้แสงอาทิตย์ในแต่ละวันที่ส่องโลกของผมมีสีสันสวยงาม รวมถึงคนรอบๆข้างเธอทั้งหลายก็มีความสุขไปด้วย น่าเสียดายนักที่เรามีโอกาสร่วมงานกันจนถึงแค่ต้นปีนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีกเลย .. เธอเป็นมนุษย์พันธุ์ที่ผมอยากได้เป็นน้องสาวยิ่งนัก


เมื่อวานก่อนไม่ค่อยสบาย นอนน้อย มีนัดงานแต่เช้า พอตกเย็นก็เลยเบลอๆวูบอยากนอนผสมเป็นลม แถมยังหิวจนหูอื้อ ก่อนกลับบ้านเลยไปหาอาหารว่างที่คาร์ฟูสักหน่อย... ขณะที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อนสายตาเบลอๆก็บังเอิญไปป๊ะเท่งป๊ะกับ "น้องหมูน้ำ" และเหล่าแฟนคลับ ก็เลยได้ทักทาย เอารอยยิ้มมาแลกกันอยู่หลายนาที ได้ความว่าเธอเพิ่งไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยมา ส่วนงานเพลงคงยังไม่มีวี่แวว เพราะช่วงนี้ต้องไปเล่นละครก่อน เธอถามไถ่ถึงพี่ๆทีมงานคนอื่นเล็กน้อย ก่อนจะฝากว่าเดี๋ยวจะเอาขนมไปเยี่ยมทุกคน .....


น่าแปลกนะครับ หลังจากคุยกับเธอแค่ไม่กี่นาที ไอ้สมองและหัวใจหมดแรงของผมก็พลันสดชื่นขึ้น ผมเชื่อแล้วว่า ไอ้พลังความรู้สึกดีๆที่คนเรามีนั้น มันส่งผ่านและมอบให้แก่กันได้จริง ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที คิดๆไปแล้วก็คงจะดี ถ้าโลกเราจะเต็มไปด้วยไอ้พลังรู้สึกดีแบบนี้ลอยอยู่ทั่วๆไป ทั้งโลกทั้งคนคงจะมีความสุขมากขึ้นเยอะ ..


รอยยิ้มกับความห่วงใยมีคุณสมบัติพิเศษกว่าอย่างอื่นครับ นั่นคือถ้าเอามาแลกเปลี่ยนกันเมื่อไหร่ ปริมาณมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แตกตัวว่องไวเหมือน ตัวเกรมลินโดนน้ำ ....ยิ่งโดยเฉพาะถ้าเป็นมาจากคนที่เรารู้สึกดีด้วยแล้ว พลังนั้นก็เหมือนจะเห็นผลทันตาและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่า


เช่นนั้นแล้ว พวกเรามาทำตัว ให้เป็นคนน่ารักสำหรับผู้อื่นกันดีกว่า .. เพื่อว่าใครมาคุยกันเราเขาจะได้รับไวรัสความรู้สึกดีๆเขาไปในตัว ไวรัสแบบนี้ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวไม่ไล่จับหรอกครับ...ผมตั้งชื่อเจ้าไวรัสชนิดนี้ว่า "ไวรัสหมูน้ำ" แล้วกัน อย่างน้อยถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอมีรอยยิ้มบ้างก็ถือว่าคุณได้รับไวรัสหมูน้ำแล้ว ... อย่าลืมไปแพร่พันธุ์ต่อด้วยนะครับ

๒๕๕๑-๑๐-๑๗

วิชาแนะแนว

วันนี้ วันศุกร์ วันนี้เหงาๆ ฝนตกเบาๆ สมองๆมึนๆ...
วันนี้ตื่นสาย ที่ทำงานเงียบๆไม่ค่อยมีคน บางฝ่ายออกไปทำงานด้านนอก บางคนลาไปเที่ยว บางท่านกำลังเตรียมงานใหญ่นอกสถานที่ ตึกใหญ่ๆโตแห่งนี้จึงดูไม่คึกคักเหมือนทุกวัน ช่วงสัปดาห์นี้ว่างๆหยิบหนังสือ "พุทธประวิติสำหรับนักศึกษา"ฉบับเรียบเรียงโดยท่านพุทธทาสมาอ่าน วันละนิดละหน่อย เพลิดเพลินดี อ่านสนุกกว่าที่คิด ..

เมื่อคืนก่อนนอนดูทีวีพูดถึงวิชาแนะแนว ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ยังมีวิชาชื่อนี้อยู่บนโลกด้วย จะว่าไปก็นับเป็นวิชาที่ลึกลับพอควร เพราะจนป่านนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่า นิยามของวิชานี้คืออะไร และสอนเรื่องอะไรกันแน่ ตำราเรียนก็ไม่มี แบบฝึดหัด การบ้านก็ไม่ต้องทำ สบายดีแท้....ข้าพเจ้าจำได้ลางๆว่า สมัยมัธยมมีเรียนวิชานี้สัปดาห์ละครั้ง ยังจำหน้าอาจารย์ผู้สอนได้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเนื้อหาในแต่ละครั้งคืออะไร... ที่แน่ๆเวลาเรียนของวิชานี้มักถูกเบียดเบียนไปให้กิจกรรมอื่นๆของทางโรงเรียนเสมอ เช่นโรงเรียนมีงานเทศกาลอะไร หรือแข่งกีฬา หรือเชิญใครมาพุด หรือกระทั่งซ้อมหนีไฟ ก็ใช้เวลาของชั่วโมงแนะแนวนี่แหละ จนสรุปสุดท้ายจำได้ว่าได้เรียนวิชานี้ไม่กี่ครั้ง ช่างดูไร้ความสำคัญคล้ายเป็นเพียงลูกเมียน้อยคนที่ 7 ที่เกิดจากการลืมสวมถุงยางอนามัยของหลักสูตรการศึกษา!

ถ้าให้เดาจากชื่อวิชา จริงๆวัตถุประสงค์ก็คงเกี่ยวกับ แนะนำเรื่องการเรียนต่อล่ะมั้ง จะต่อมหาวิทยาลัย หรือสายอาชีพ หรือโรงเรียนทหาร ตำรวจ หรือต่างประเทศ คณะไหนเป็นยังไงบ้าง สอบเข้ายากไหม ต้องเรียนกี่ปี ต้องทำยังไงบ้าง คาดว่าน่าจะประมาณนี้กระมัง ถ้าเช่นนั้นวิชานี้ก็ควรได้รับความสำคัญมากกว่านี้ ก็การแนะนำอนาคตสำหรับหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยรุ่น มันมีผลกับชีวิตของเขาแทบทั้งชีวิตไม่ใช่หรือ?

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังมีวิชาแนะแนวอีกไหม แต่รู้สึกอยากกลับไปเรียนอีกเหลือเกิน เพราะคนเราก็เจอปัญหาอยู่เรื่อยๆ หนักๆเบาๆไปตามประสา แต่พอเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้แล้ว ทั้งที่ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอ และสับสนเป็นเหมือนกัน...

ว่าแล้วก็หยิบ"พุทธประวิติสำหรับนักศึกษา"มาอ่านต่อดีกว่า ... ข้าพเจ้าว่า แม้เราไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้ว แต่ก็คงพอเป็นตำราแนะแนวชีวิตได้บ้าง ในวันที่ดูเหงาๆกับเวลาห่างไกลความสุขเช่นนี้

๒๕๕๑-๑๐-๑๓

ไม่เอาน่ะเกรงใจ ไม่ดีหรอกเกรงใจ

...ได้รับการ์ดแต่งงานอีกแล้ว... พอย่างเข้าฤดูหนาว คนเราก็มักจะหาอะไรอุ่นๆกอด โดยเฉพาะหัวใจอุ่นๆ ที่อบด้วยกลิ่นของความรักหอมๆๆได้ที่ การมีคู่ทำให้คนเหงาน้อยลง บางคนว่าการหาคู่นั้นเป็นไปตามสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ของมนุษย์ .. แต่ข้าพเจ้าว่าหลายๆคู่ก็อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ค่อยได้สืบพันธุ์กันบ่อยนัก เอาเข้าจริงแล้วความต้องการหลีกหนีจากความเหงาต่างหาก ที่ทำให้คนเราจำเป็นต้องหาใครสักคนอยู่ด้วยกันทุกวันๆๆ

คนเราอยู่ด้วยกันนานๆก็สนิท พอสนิทมากๆก็ผูกพันธุ์ จากเพื่อนร่วมโลกปกติ มนุษย์บางคนจึงเลื่อนขั้นเป็นคนพิเศษสำหรับกันและกัน เป็นมนุษย์ข้อยกเว้นของกันและกัน เรื่องเดียวกันกับบางคนเราโกรธ แต่บางคนเราไม่โกรธ กับบางคนเราไม่ยอม แต่บางคนเรายอม... นี่คือข้อแตกต่างระหว่างความสนิท กับไม่สนิท

กระนั้นท่ามกลางความเพลิดเพลินในการเดินทางของความสนิทสนม บ่อยครั้งที่เราทำความเกรงใจหล่นหายไประหว่างทาง.. ทำให้บางทีเราโกรธกันทั้งที่ก็ยังไม่เข้าใจกันว่าโกรธทำไม ทำไมต้องโกรธ...สิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่เราคิดว่าเล็กน้อยไม่เป็นไร สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โต...

ถ้าข้าพเจ้าเกิดเป็นความเกรงใจ หลายๆครั้งคงนั่งน้อยใจ ที่คนเราบ้าเห่อแต่คุณความรัก .. โดยหลงลืมข้าพเจ้า ยิ่งรักกันเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายิ่งละลายหายไปเท่านั้น..
...
...
...
เมื่อวานข้าพเจ้าเพิ่งโดนมนุษย์ข้อยกเว้นคนหนึ่งตั้งคำถามว่า "มึงสนิทกับพวกกูมากไปรึเปล่าวะ"..
ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถามนี้ ไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้ แต่ไม่อยากตอบ
ข้าพเจ้ารู้เพียงแต่ว่า ท่ามกลางกว่า 6 พันล้านคนบนโลก สำหรับข้าพเจ้า มีมนุษย์แค่ไม่กี่คน..................... "ที่เป็นข้อยกเว้น"

๒๕๕๑-๑๐-๐๙

โรงหมอ...

? ทำไมเราไม่เรียกโรงพยาบาลว่า "โรงหมอ" ทั้งๆเวลาเราไม่สบายเราใช้คำว่า "ไปหาหมอ"??.. น่าตลกดีเราไปหาหมอที่โรงพยาบาล เราไม่ได้ไปหาพยาบาลที่โรงหมอ?..

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เมื่อวานบ่ายๆ หลังจากต้องนอนค้างที่ ร.พ.เป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยอาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร อาหารเป็นพิษ.. มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย ไปหาหมอตั้งแต่ 7 โมงเช้า กว่าจะได้ห้องพักก็ทุ่มพอดี เพราะคนเจ็บมากกว่าจำนวนห้องพัก ต้องนอนให้น้ำเกลือ และยาฆ่าเชื้อเข้าเส้นเลือดอยู่ในห้องฉุกเฉินทั้งวัน น่าเบื่อเสียนี่กระไร แต่ก็ได้มองคนรอบๆ บ้างกระดูกหัก บ้างเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด บ้างโดนรถชน บ้างโดนของร้อนๆลวก ... และอีกมากมาย

รอบๆตัวข้าพเจ้าส่วนมากมีแต่คนชรา ได้มองพลังชีวิตแก่ๆตามวัยที่พยายามจะดำเนินชีวิตต่อ ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น อาม่า อากง ทั้งหลายล้วนกำลังใจดี คุยเก่ง บางรายพูดไทยไม่ค่อยขัก แต่ลื้อก็ยังบอกพายาบังว่า ม่ายเปงลายๆๆ อั้วแค่กิงแจหนักปายหน่อย เลยม่ายมีแลง ม่ายล่ายกินเนื้อหลายวัน...

การรักษาในร.พ.ของข้าพเจ้าเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ได้รับบริการดูแลอย่างดี จากนางพยาบาลหลากวัยและความงาม แม้จะอายๆอยู่บ้างที่ต้องนุ่ง กกน.ตัวเดียวให้พยาบาลหมวยเล็กหมวยใหญ่เช็ดตัวให้ แต่นาทีนั้นข้าพเจ้าไม่มีแรงโต้แย้งใดๆ แม้ต่อให้พยาบาลหมวยบังคับให้ข้าพเจ้าเป็นแฟนด้วยก็คงมิอาจขัดขืน ..

สรุปว่านอนไป 1 คืน ให้ห้องคู่(พักร่วมกับอากงอีกท่าน) พักอย่างสงบก่อนจะตื่นมาใจไม่สงบเมื่อพบค่ารักษาว่าหมดไปร่วมเกือบ 12,000 บาท... โดยเป็นค่าห้องคืนละ 2,500 ที่เหลือเป็นค่าหมอ ยา และบริการอื่นๆ.. โอ้อนิจจา ข้าพเจ้าเพิ่งตระหนักถึงอำนาจแห่งเงินตราด้วยตาสว่างโร่...ก่อนกลับเหลือบไปดูอัตราค่าบริการห้องพัก ความตกใจในราคาแพงที่ข้าพเจ้าต้องจ่ายกลายเป็นแค่ขี้มด เมื่อตารางราคาสำหรับห้องพักเดี่ยว ต่อ 1 คืน แบ่งเป็น ห้องธรรมดา - ห้องพิเศษ - ห้องเดอลุกซ์ - ห้องVIP - ห้องExclusive - ห้องซูพีเรีย - ห้องสูท - และห้องSILK ...

โดยราคาห้อง SILK อยูที่คืนละ 13,500 บาท แถมห้องรับแขกและสวนหย่อมให้ด้วยนะเออ...
..
..
เฮ้อ......... "อโรคยา ปรมาลาภา" ...จริงๆหนอ

๒๕๕๑-๑๐-๐๖

ไฮโปคอนดริเอซิส

.......... ป่วย ........... เป็นไข้
สันนิษฐานว่าเพราะคืนวันเสาร์ ริวิ่งออกกำลังกายตอนกลางคืน หลังฝนตกหนักมาทั้งวัน หวังจะให้ร่างกายแข็งแรง แต่กลายเป็นว่าทำให้ตัวเองอ่อนแอซะนี่.... ชีวิตมักเป็นเช่นนี้ หวังอย่าง ทำอย่าง แต่ได้ผลอีกอย่าง ...

เมื่อวานได้แต่นอนซม กินยาแก้ไข หนาว ปวดไปทั้งตัว อยากอ้วกทั้งวัน ไม่อยากกินอะไรเลย... จนวันนี้ตื่นมาก็ยังเป็นอยู่แต่ดีขึ้น ปวดตามตัวน้อยลง หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมาก...

รู้สึกอ่อนแอ ทั้งกายและใจ.... อ่านหนังสือเจอว่า เราอาจเป็นโรควิตกกังวลไปเอง ภาษาฝรั่งเขาว่า ไฮโปคอนดริเอซิส อะไรสักอย่างนี่ล่ะ เขาว่าคนเป็นกันมากช่วง 20-30 และโรคนี้รักษาๆไม่หาย เป็นตลอดไป.....คนรอบๆต้องพยายามอดทนและเข้าใจ

... ฉิบหายแล้ว ทำไงดีล่ะนี่....
เฮ้อ... เอาน่ะ อย่างน้อย เราก็ยังโชคดีกว่าคนอื่นหลายเรื่อง จะแย่กว่าคนอื่นบางเรื่องบ้างก็ช่างมันเถอะ...
.. โลกนี้ยุติธรรมเสมอ....โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแบ่งปันความไม่ยุติธรรมให้กับมนุษย์ทุกคน อย่างเท่าเทียม ....?

๒๕๕๑-๑๐-๐๒

หมอตำแยเทวดา

.. หลายวันนี้พยายามทำอะไรคนเดียว... ในสิ่งที่อยากทำด้วยกันหลายคนแต่คนอื่นดันไม่อยากทำด้วย ยังไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็ว่าจะลองพยายามต่อไป.. ข้าพเจ้านึกถึงการทำงานร่วมกันด้วยจำนวนมนุษย์ขี้เหม็น 2 คนขึ้นไป บางทีก็เป็นเรื่องยาก บางทีก็เป็นเรื่องง่าย ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความคาดหวัง ถ้าเป็นเรื่องเล็กขี้มดแดงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆที่หวังผล.... การจะทำงานราบรื่นถูกใจทุกคนย่อมยากยิ่งนัก... โดยเฉพาะมนุษย์พันธุ์อารมณ์ศิลปิน

มนุษย์ศิลปินส่วนใหญ่ ชอบทำงานตามใจตัวเอง หรือยินดีร่วมงานเฉพาะกับคนที่คิดว่าพอไปกันได้ รสนิยมตรงกัน พวกคนที่คิดว่ารสนิยมแนวคิดไม่ตรงกัน จึงจัดเป็นมนุษย์เผ่าอื่นในสายตามนุษย์ศิลปิน ... ข้าพเจ้าเองก็เคยเป็นเช่นนั้น... จวบจนวันหนึ่ง มีมนุษย์ศิลปินคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า ทำไมกูคิดได้แต่แบบเดิมๆวะ กูอยากหนีออกไปจากความซ้ำซาก...
....
ข้าพเจ้าเองจัดเป็นคนหัวดื้อหือชนฝาเหมือนกัน แต่พลันนึกไปถึงตอนร่วมงานกับผู้อื่น หลายๆครั้งที่ข้าพเจ้ามีความคิดเข้าท่า แต่ยังไม่เข้าที ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นมีความคิดเข้าที แต่ไม่เข้าท่า (เพื่อนร่วมงานเหล่านั้นล้วนถูกจัดเป็นเผ่าอื่นในสายตาข้าพเจ้าเพราะความคิดไม่ตรงกันหลายเรื่อง) พอสบโอกาสได้แบ่งกันดู Ideaของกันและกัน พลันก็เกิดการปฏิสนธิทางปัญญา .. "เอาส่วนนี้ของเธอมาผสมส่วนนี้ของฉันก็น่าจะดี" ... "นี่ไงเอาโครงตรงนี้แบบเธอ แต่เพิ่มลายของฉันเข้าไป"...."เออจริงด้วย" ... "อืมเข้าท่าเข้าทีแฮะ" ...

แม้จะยังมีส่วนที่ขัดหูขัดตาไม่ตรงกันบ้าง แต่อย่างน้อยการปฏิสนธิของมนุษย์ต่างเผ่า ก็ได้ทำคลอดสิ่งๆหนึ่งออกมา นั่นก็คือ"Ideaใหม่ๆ"...
สิ่งที่ไม่ว่าหมอตำแยเทวดาก็ ก็ไม่อาจทำได้ ถ้ายังถูกปิดกั้นโอกาสด้วยทัศนคติที่ว่า"กูว่ามึงคนละแนวกับกูว่ะ"

..... "บางทีการผสมพันธุ์กับคนที่เราไม่คิดว่าเข้ากันได้ก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจเหมือนกัน .. ลองดูพวกลูกครึ่งสิ สวยๆหล่อๆกันทั้งนั้น แล้วทำไมเราจะสร้าง Idea สวยๆบ้างไม่ได้ล่ะ"

......วันนี้อยากส่งเสียงบอกมนุษย์บางคนรวมถึงตัวข้าพเจ้าเองด้วยว่า..... "มาลองเป็นหมอตำแยกันเถอะ" .............

๒๕๕๑-๐๙-๒๙

คนไฟมอด

.. วันนี้ฟ้าสว่างดี สายลมพัดกำลังพอเหมาะ ไม่พัดโบกแรงฟู่ๆกระหน่ำหน้าต่างจนต้องตื่นนอนแบบตลอดสัปดาห์ก่อน... ไม่ชอบลมแรงเลย มันดูน่ากลัวพิกล เหมือนมันโกรธอะไรอยู่..

มาทำงาน เบื่อกับแผนกข้างเคียง ที่ไม่ยอมคิดอะไรเพิ่มเติมเอง อยากได้อะไรให้เราหามาให้ งาน 100% รอให้เราทำไปให้ซะ 70 % แล้วค่อยคิดต่อ ก็เข้าใจอยู่ว่า เขาคงเบื่อระบบที่ทำแล้วต้องแก้แล้วแก้อีก คิดจนสมองบุบหลายๆรอบก็ไม่ผ่านซะที แต่การแก้ปัญหาโดยไม่คิดแล้ว ให้พวกเอ็งคิดมาจนเกือบเสร็จเลยละกันฉันค่อยมาทำต่อจะได้ไม่ต้องแก้เยอะ มันก็ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีนะ ... ก็เข้าใจทุกฝ่าย ... มันก็มีการเบื่อจนไฟมอดกันบ้าง

ข้าพเจ้าเองก็ไฟมอดไปมาก ถ้าเทียบตอนทำงานใหม่ๆ ร้อยแรงเหมือนไฟประลัยกัลป์เผาเขาพระสุเมรุได้ทั้งลูก ผ่านไป 7 ปี ตอนนี้ก็คงกลายเป็นไม้ขีดชื้นๆที่เสือกเปียกน้ำจนจุดไม่ค่อยติดอีกตะหาก แรงกระตุ้นรอบได้ไม่มีเลย ทั้ง คนร่วมงาน ทั้ง เงินร่วมกระเป๋าตังค์.. หลายๆครั้งที่ไม่ค่อยทุ่มเทเท่าไหร่นัก ของแบบนี้ปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ๆ ต้องการทางกระตุ้นต่อมมืออาชีพของตนเองซะหน่อย ส่วนจะโดยวิธีทางใด ก็ต้องคิดกันอีกที

ขึ้นชื่อว่างาน ว่าทำเป็นอาชีพ.. อย่างน้อยเวลาที่คนหยิบผลงานของเราขึ้นมามอง ก็อยากให้ด้วยสายตาชื่นชมมากกว่าเย้ยหยัน...
ถึงเราจะเป็นเพียงฟันเฟืองขี้ปะติ๋ว ที่อยู่หลืบในของชิ้นงานนั้น แถมมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีก...เราก็ควรยิ้มให้ตัวเองได้ เมื่อชิ้นงานออกมา...

แม้ว่า "เงินเป็นของคนอื่น.....แต่ความภูมิใจ...เป็นของเรา"