๒๕๕๑-๐๙-๒๙

คนไฟมอด

.. วันนี้ฟ้าสว่างดี สายลมพัดกำลังพอเหมาะ ไม่พัดโบกแรงฟู่ๆกระหน่ำหน้าต่างจนต้องตื่นนอนแบบตลอดสัปดาห์ก่อน... ไม่ชอบลมแรงเลย มันดูน่ากลัวพิกล เหมือนมันโกรธอะไรอยู่..

มาทำงาน เบื่อกับแผนกข้างเคียง ที่ไม่ยอมคิดอะไรเพิ่มเติมเอง อยากได้อะไรให้เราหามาให้ งาน 100% รอให้เราทำไปให้ซะ 70 % แล้วค่อยคิดต่อ ก็เข้าใจอยู่ว่า เขาคงเบื่อระบบที่ทำแล้วต้องแก้แล้วแก้อีก คิดจนสมองบุบหลายๆรอบก็ไม่ผ่านซะที แต่การแก้ปัญหาโดยไม่คิดแล้ว ให้พวกเอ็งคิดมาจนเกือบเสร็จเลยละกันฉันค่อยมาทำต่อจะได้ไม่ต้องแก้เยอะ มันก็ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีนะ ... ก็เข้าใจทุกฝ่าย ... มันก็มีการเบื่อจนไฟมอดกันบ้าง

ข้าพเจ้าเองก็ไฟมอดไปมาก ถ้าเทียบตอนทำงานใหม่ๆ ร้อยแรงเหมือนไฟประลัยกัลป์เผาเขาพระสุเมรุได้ทั้งลูก ผ่านไป 7 ปี ตอนนี้ก็คงกลายเป็นไม้ขีดชื้นๆที่เสือกเปียกน้ำจนจุดไม่ค่อยติดอีกตะหาก แรงกระตุ้นรอบได้ไม่มีเลย ทั้ง คนร่วมงาน ทั้ง เงินร่วมกระเป๋าตังค์.. หลายๆครั้งที่ไม่ค่อยทุ่มเทเท่าไหร่นัก ของแบบนี้ปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ๆ ต้องการทางกระตุ้นต่อมมืออาชีพของตนเองซะหน่อย ส่วนจะโดยวิธีทางใด ก็ต้องคิดกันอีกที

ขึ้นชื่อว่างาน ว่าทำเป็นอาชีพ.. อย่างน้อยเวลาที่คนหยิบผลงานของเราขึ้นมามอง ก็อยากให้ด้วยสายตาชื่นชมมากกว่าเย้ยหยัน...
ถึงเราจะเป็นเพียงฟันเฟืองขี้ปะติ๋ว ที่อยู่หลืบในของชิ้นงานนั้น แถมมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีก...เราก็ควรยิ้มให้ตัวเองได้ เมื่อชิ้นงานออกมา...

แม้ว่า "เงินเป็นของคนอื่น.....แต่ความภูมิใจ...เป็นของเรา"

๒๕๕๑-๐๙-๒๗

ไม่ Rock แล้วหรือ?

.. หวังว่าจะได้ไปซ้อมดนตรีวันนี้ เมื่อคืนอุตส่าห์นั่งฝึกหลายชั่วโมง แต่ก็ล้มเลิกจนได้.. อุปกรณ์ไม่พร้อม คนไม่พร้อม ก็เลยสรุปได้ไปซื้อที่วางไมค์กับเพื่อนที่เวิ้ง...
....
ได้คุยกับเพื่อนที่บ้าดนตรีกันมาตั้งแต่มัธยม.. มีแต่ข้าพเจ้าที่ยัง Rock อยู่ จนแก่.. เข้าตำรา... "ฟังเพลง Rock เป็นหลัก เพลงรักเป็นรอง" .. ส่วนเพื่อนของข้าพเจ้า มันไม่ค่อยชอบเพลง Rock แล้ว มันว่า กูฟังจนเบื่อแล้วอยากฟังอะไรที่ไม่เคยฟัง อยากฟังเพราะๆ.. ไม่รู้ว่าเพราะมันไปเรียนดนตรีเป็นเรื่องราวจริงจังถึงสถาบันระดับโลกเมืองมะกันรึเปล่า.. จาก Rocker มันจึงกลายเป็น Musician เสียมากกว่า.. ข้าพเจ้าเซ็งเล็กน้อย เพราะเมื่อคนหนึ่งอยากซ้อมเพลงแนวหนึ่ง คนหนึ่งอยากเล่นอีกแนว มันย่อม ไม่ค่อยสุขสมใจนักแน่ในการรวมกันเล่น... ออกมาคงมั่วๆ คนหนึ่งนั่งแกะให้เหมือนที่สุด อีกคนจำได้ลางๆ แต่ไม่ฝึกเพราะไม่ชอบ จะมั่วๆเอา นึกไปนึกมา เล่นไปคงล่มๆลุ่มๆดอนๆ....

.....กระนั้นก็น่าจะสนุกดี ... เพราะอย่างน้อยก็ได้เล่นดนตรีร่วมกัน ข้าพเจ้าเริ่มนึกไปถึงการแตกแยกวงของวงดนตรีดังๆต่างๆ ที่มักให้เหตุผลว่า ทัศนคติทางดนตรีไม่ตรงกัน... เออ..มันคงเป็นประมาณนี้นี่เองเพียงแต่พวกนั้น Ego จัดเกินกว่าจะยอมรับในส่วนต่างของคนอื่นๆ

ใครใคร่จะชอบอะไรก็ชอบไปเถิด.. แบ่งๆกันชอบก็คงเป็นทางออกที่ดี.. เล่นแบบกูชอบบ้าง แบบมึงชอบบ้าง.... เล่นได้บ้าง ล่มบ้าง.. จะเพราะรึไม่เพราะ อย่างน้อย...
..
"มันก็ยังพอมีเสียงมิตรภาพดังออกมาจากหัวใจ"

๒๕๕๑-๐๙-๒๖

...อ้วก...

จริงๆมีเรื่องยาวๆจะเขียน....แต่วันนี้คงไม่เหมาะ
..
ร่างกายปั่นป่วน อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไปทำงาน แต่กลับไปไม่ถึง จอดรถอ้วกข้างทาง 2 รอบ... คาดว่าเพราะความเครียดกังวล ไม่อยากไปทำงานที่เพชรบุรีพรุ่งนี้ (การไปทำงานวันนี้จะทำให้รู้ว่าต้องไปทำงานไกลๆ ตจว. พรุ่งนี้รึเปล่า) ... ร่างกายไม่พร้อม...ใจไม่พร้อมกว่า ปกติเวลาเครียดเคยแต่จะอ้วกแต่ไม่อ้วกจริงๆ .. แต่วันนี้มันก็ออกมา ส่นหนึ่งอาจเพราะเพิ่งหม่ำข้าวไป... อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ไปทำงาน

เลี้ยวรถกลับไปบ้านเพื่อน เอาเบสมาเล่นดึ่งๆๆแกะเพลงไปพลางแก้เครียด...
อาการข้าพเจ้าอาจหนักกว่าที่คิด.....
หรืออาจเบาที่ที่ตนเองกังวล....
ไม่อาจรู้ได้

มองเห็นพ่อเพื่อนสุดแข็งแรงยิ้มแย้ม คุณป๋าคนนี้มักมีความคิดแปลกๆบางคนก็มองว่าแกเพี้ยนๆนิดๆ อย่างไรก็ตามที่แน่ๆ หน้าแกมีแต่รอยยิ้มเสมอ หัวเราะทั้งวัน แม้จะอายุ 60 แล้ว .. แกว่าไม่มีอะไรมาชนะแกได้ อันไหนที่ กังวล เครียด ไม่ชอบ แกไม่เอามาคิด ไม่ให้เข้ามาในใจแก... แถมแกยังออกกำลังกายทุกวัน ตีลังกาห้อยหัวยังทำได้เลย(เห็นมาแล้ว) แกอ่านหนังสือพวกจิตวิทยาแยะ ล่าสุดถึงกับจะเขียนเองแล้ว ..แกตั้งชื่อหนังสือว่า "วิ่งสมาธิ"
...
..
ถ้าสำเร็จ ข้าพเจ้าซื้อแน่นอน และจะขอลายเซ็นต์แกด้วย .. คุณป๋าอารมณ์ดี

๒๕๕๑-๐๙-๒๒

To Live Is To Die ...


ตอนเด็กๆข้าพเจ้ารัก"มนุษย์แม่"มาก..."มนุษย์แม่"ไม่อยู่ก็ร้องไห้.."มนุษย์แม่"หายไปก็ร้องหา .."มนุษย์แม่"มารับที่โรงเรียนช้าก็น้ำตาคลอ..

พอเป็นวัยรุ่นสิ่งสนุกสนานและน่าเรียนรู้ในชีวิตทำให้ข้าพเจ้าสนใจ"มนุษย์แม่"น้อยลง ไปสนใจ"มนุษย์เมีย"มากกว่า..วันไหน"มนุษย์แม่"ไม่อยู่บ้านยิ่งร่าเริงร้องลั้นลาๆ.. แต่ถ้าทะเลาะกับ"มนุษย์เมีย"มากลับน้ำตาซึม ...

ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกรัก"มนุษย์แม่"กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อาจจะพอเดาได้ว่าเริ่มเข้าข่ายกลุ่มอาการ "ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตเอ๊ฟเฟ็ค" คือปรากฏการณ์ที่ได้เรียนรู้แล้วว่า ยิ่งเวลาผ่านไป โอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกันบนโลกก็น้อยลงไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เราหายใจเพื่อมีชีวิต นั่นคือนับถอยหลังชีวิตของเราลดน้อยลงไปเรื่อยๆ....อย่างที่ฝรั่งเขามีสำนวนว่า "TO LIVE IS TO DIE".. ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า"มนุษย์แม่"จะอยู่กับข้าพเจ้าอีกนานเท่าไหร่..

"มนุษย์แม่"มักมีความคิดที่เราเข้าไม่ถึง .. หรือลืมที่จะเข้าถึง เป็นความสามารถพิเศษที่มีเพียง"มนุษย์แม่"เท่านั้นจะทำได้เสมอๆ..
วันก่อนตอนเย็นๆข้าพเจ้ารับโทรศัพท์จากน้าสาว นึกแปลกใจเนื่องด้วยปกติไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ .. แต่แล้วปริศนาก็กระจ่าง น้าสาวโทรมาเพียงแค่บอกข้าพเจ้าสั้นๆว่า... "แม่เราเขาให้โทรมาบอกว่า เขาลืมโทรศัพท์ไว้ที่ทำงาน ถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรเข้าเครื่องน้านะ"...... ทั้งๆที่เหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมงข้าพเจ้าก็จะกลับบ้าน แต่"มนุษย์แม่"ก็ยังอุตส่าห์คิดถึงและเป็นห่วงข้าพเจ้าหากมีเหตุอะไรไม่ปลอดภัย.... เป็นความคิดที่หากเป็นตัวข้าพเจ้าเองคงไม่ทำแบบนั้น ถ้าลืมโทรศัพท์ก็คงจะไม่อุตส่าห์ถ่อไปฝากข้อความกับใคร ก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ...

วันเหยุดคือวันพักผ่อน..และเมื่อถึงเสาร์อาทิตย์ ข้าพเจ้าก็มักหยุดพักอยู่กับบ้านปวารณาตนเป็นอัครสาวกของตัวขี้เกียจ.. ไม่ทำอะไรให้เปลืองแรงทั้งสิ้น กว่าจะตื่นมาก็บ่ายๆ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังหิวและดูที่โต๊ะอาหารว่ามีอะไรบ้าง เสียง"มนุษย์แม่"แว่วๆมาข้างหลังบอกว่า "มีแต่ไก่ย่างที่ซื้อมาเมื่อกี้นี้ กินไปก่อน.. ถ้าถ้าจะกินก๋วยเตี๋ยวหลอดก็รอแป๊ปนึง แม่ยังไม่ว่างทำ กำลังทำงานอยู่".....

ภาพแม่กำลังซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ เตรียมของขาย เย็บกางเกงที่ขาดให้ ลอยเข้ามาในหัวข้าพเจ้า ... แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ปริมาณงานที่ข้าพเจ้าทำได้หมดในวันเดียว....
ข้าพเจ้าตระหนักเดี๋ยวนั้นเองว่า ขณะที่ผู้คนมากมายบนโลกหยุดพักในวันหยุด.. "มนุษย์แม่"ยังคงทำงานหนักอย่างไม่มีวันหยุดพัก..โดยเฉพาะงานที่ท่านรักจะทำมาร่วมเกือบ 30 ปี .. "งานดูแลลูกๆ"....
.......
ข้าพเจ้ากินไก่ย่างไป พลางเสียบหูฟังเปิดเพลง "To Live Is To Die" ของคณะ Metallica ฟังอีกครั้ง ...
แปลกใจเหลือเกินว่า ไฉนเพลง Speed Metal สุดโหดเหี้ยมรุนแรงดุดันก้าวร้าว... จึงทำให้ข้าพเจ้าน้ำตาคลอ.....

๒๕๕๑-๐๙-๑๘

โอ.........ชีวิตของข้าพเจ้ามีเสน่ห์เหลือเกิน ...

... โลกนี้ มีคำถามมากมาย และตรรกกะแปลกๆอยู่เสมอ....

... ทำไมหลังจากเราซักผ้าหรือล้างรถ ฝนจะชอบตก? ...
... ทำไมของที่จะใช้มักหาไม่เจอ และจะมาอยู่ต่อหน้าเสมอเวลาที่ไม่ต้องการใช้? ...
... ทำไมกินขนมของเพื่อนจะอร่อยกว่าเราซื้อเองเสมอ? ...
... ทำไมเวลาต่อคิวจ่ายเงิน แถวอื่นมักขยับไปเร็วกว่าแถวเรา? ...
... แต่ถ้าเราเปลี่ยนแถว แถวเดิมของเราจะเร็วกว่าทันที? ...
... ทำไมความตั้งใจลดความอ้วนจะมากที่สุดหลังกินเสร็จไปแล้ว และจะน้อยลงตอนหิวมากๆ? ...
... ทำไมแฟนเรามักสวย/หล่อน้อยกว่าแฟนคนอื่น? ...
... ทำไมคนที่รักเราเรามักไม่ได้รัก? ...
... ทำไมคนที่เรารักมักไม่รักเรา? ...
... ทำไมเรามักลืมสิ่งที่ตั้งใจจะจดจำ แต่กลับจำได้แม่นในสิ่งที่ต้องการจะลืม? ...

มีคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า นี่คือกฎของความไม่สมหวัง.... นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต ...
เพราะมันทำให้ มนุษย์ ร้องไห้ได้ หัวเราะเป็น และเฉยๆเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง....
........
โอ.........ชีวิตของข้าพเจ้ามีเสน่ห์เหลือเกิน ...

๒๕๕๑-๐๙-๑๕

SUPER BAND OF GOD

... ในคืนวันศุกร์และเสาร์ ข้าพเจ้ามักจะนอนดึกเป็นพิเศษ .. อันที่จริงควรจะบอกว่าเช้าต่างหาก เวลาประมาณ ตี 4 กว่าถึง เกือบ 6 โมงเช้านับเป็นเวลาที่สงบสุขและน่าสนใจมากสำหรับข้าพเจ้า มีกิจกรรมหนึ่งที่มักทำเป็นประจำก่อนนอน นั่นคือการดู TV

เป็นช่วงเวลาพิเศษที่ข้าพเจ้าดู TV แบบโรเตชั่น นั่นคือดูช่องละนิดละหน่อยแล้วกดเปลี่ยนช่อง วนไปวนมาแบบนี้ อันที่จริงมองเผินๆเหมือนน่าปวดตาปวดหัว แต่สำหรับข้าพเจ้านั้นสนุกอย่างมาก เนื่องด้วยช่วงเวลาชั่วโมงกว่าๆนั้น เป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่มีรายการศาสนาให้ดูพร้อมกันทั้ง 3 ศาสนา !!.. ช่องนึงเป็นรายการธรรมมะชของพุทธ อีกช่องเป็นรายการความเชื่อในพระเจ้าศาสนาคริสต์ และอีกช่องเป็นหลักคำสอนของอิสลาม (ส่วนอีก 3 ช่องที่เหลือเป็น รายการขายไม่ขนไก้ไฟฟ้า - สาหร่ายสไปรูลิน่า - และเครื่องออกกำลังกายตระกูลแอ๊บ ตามลำดับ)

เวลาดูรายการศาสนาทั้ง 3 รู้สึกสนุกและแปลกดี จิตใจมันสงบนิ่งสำรวมแต่สมองกลับกระตือรือร้นรับข้อมูล ศาสนานั้นพูดเรื่องนี้ ศาสนานี้พูดเรื่องนั้น บางอย่างก็คล้ายกัน บางอย่างก็ไม่เหมือน แต่ที่เหมือนกันมากคือ สีหน้าของศาสนิกชนต่างๆ ที่เชื่อมั่นและมีความสุขกับสิ่งที่ตนเองเชื่อ พูดออกความเห็นด้วยรอยยิ้มและความปราถนาดี..จริงๆแล้วข้าพเจ้าเองตามทะเบียนราษฎ์นั้นเป็น คริสตศาสนิกชน แต่ในชีวิตข้าพเจ้าก็ศึกษารับฟังทุกศาสนา แถมเข้าวัดพุทธกราบพระทำบุญและโหลดฟังเสียงเทศน์ท่านพุทธทาสเสียอีก ก่อนนอนก็สวดมนต์ทั้งแบบคริสต์และพุทธ จะว่าโลภสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงได้มั้ง ก็ในเมื่อทุกองค์ศักดิ์สิทธิ์และสอนให้เราทำดี ทำไมจะต้องกีดกันศาสนาอื่นด้วยล่ะ ส่วนตัวข้าพเจ้ามีความเชื่อแต่เด็กแล้วว่าบนสวรรค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์เป็นเพื่อนกัน มนุษย์เราต่างหากที่งี่เง่ามาแบ่งแยกเข่นฆ่าพวกกูพวกมึงอย่างโง่ๆทุกวันนี้ ..

บางทีตายไปเราอาจได้เห็น Super Band ที่พระเยซูเล่นกีต้าร์ - พระพุทธเจ้าตีกลอง - พระอัลเลาะห์เล่นเบส โดยที่พระเจ้าศาสนาอื่นๆเป็นคอรัสก็เป็นได้ แล้วเชื่อเถอะว่า พวกท่านทั้งหมดนั้น จะบรรเลงดนตรีที่เพราะยิ่งกว่าสรรพเสียงใดๆออกมา .... โดยที่รอพวกเรา มวลมนุษย์ผลัดกันขึ้นไปเป็นนักร้องนำ เพื่อขับร้องถ่ายทอดเนื้อหา ในสิ่งที่พวกท่านทรงสอน แก่เพื่อนมนุษย์คนอื่นๆต่อไป

...... เชื่อเถอะว่า มันต้องเป็นบทเพลงที่เพราะที่สุด ......

๒๕๕๑-๐๙-๑๒

หมูหล่อ

วันนี้นับว่าโชคดี จากกำหนดการเดิมต้องออกทำงานนอกสถานที่ 3 วันติด ตั้งแต่เมื่อวาน แถมวันนี้เช้ามืดตี 3 ต้องไปเพชรบุรี ทั้งที่สภาพกายใจยังไม่พร้อม... เหมือนฟ้ามาโปรด กลายเป็นทำงานเมื่อวานถึงดึกๆ วันเดียว ส่วนการไปเพชรบุรีเลื่อนหนีฝนออกไป 2 สัปดาห์....

จริงๆแล้วงานก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าพเจ้าเลย มันเป็นงานที่เข้าตกลงเสร็จสิ้นกันไปหมดแล้วจากทีมงานฝ่ายอื่นๆ และก็มีคนไปดูแลงานนี้อยู่แล้ว แต่ก็ข้าพเจ้าก็ยังต้องเสนอหน้าไปให้ซ้ำซ้อนโดยไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรเสียหน่อย ไปเป็นตัวเกะกะเสียหน่อย ไปเป็นส่วนเกินเสียหน่อย ไปง่วงไปเมื่อยไปรถติดไปผลาญพลังงานและเวลาโลกเสียหน่อย..........

แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้การทำงาน เนื่องด้วยลูกค้ารายนี้เป็นชาวญี่ปุ่น เห็นได้ชัดกับการตรงต่อเวลาของเขา มาก่อนเวลาเสียด้วยซ้ำ ส่วนทีมงานไทย คนหนึ่งสาย 1 ชั่วโมง อีกคนสาย 2 ชั่วโมง และอีกคน สาย 3 ชั่วโมง ตามลำดับ.... แม้เช้านั้นจะรถติดมากมายมโหฬารจริงๆ เนื่องด้วยฝนที่ตกตลอดคืน น้ำท่วมและอุบัติเหตุหลายแห่ง ทีมงานหลายๆคนก็สาย.... แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรเพราะคำถามที่ยากจะหาคำตอบว่า "แล้วทำไมญี่ปุ่นไม่สาย?".... หรือจะว่าญี่ปุ่นเหาะได้ก็คงไม่ใช่ -_-"

หลังตัดผมและเปลี่ยนแว่นใหม่ มีคนทักว่าหล่อขึ้น พอๆกับทักว่าอ้วนขึ้น.....
..
"เอ่อ..... ไม่เคยเห็น หมูที่หล่อที่สุดในโลกกันรึไงฟะ ไอ้พวกนี้นี่..." -_-"

๒๕๕๑-๐๙-๑๐

ฮวงจุ้ย...อูย....เครียด

... อาจเพราะอานิสงค์กรรมชั่วที่ข้าพเจ้าได้กระทำ สุขภาพจิตยังคงตกต่ำย่ำแย่ ผลพวงจากคำทำนายแม่หมอพลังจิตที่ให้ไว้เมื่อ 3 วันก่อน ข้าพเจ้าคิดมากเสียจน อ้วก ในบางเวลา (จริงๆเป็นอาการที่มีแนวโน้มอยู่ก่อนแล้ว จากความเครียดจิตตกอื่นๆ)...

เมื่อวานไม่ได้เข้าออฟฟิศ ไปเอาเปลี่ยนเลนส์แว่นที่ Central ก็เลยถือโอกาสเข้าร้านหนังสือเสียหน่อย เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าใช้เวลาในมุม "โหราศาสตร์"มากกว่ามุมอื่นๆ ลองค้นคว้าหาอ่านทั้ง ฮวงจุ้ย เลข 7 ตัว ไพ่ ยิปซี ลัคนา ราศี สุริยจักรวาล และอะไรต่างๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งมึน ยิ่งมึนก็ยิ่งอยากอ้วกซ้ำ.. โดยเฉพาะไอ้การคำนวณผ่านวันเวลาเกิดนี่ คนละสูตร ก็ได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันอีก ทั้งที่ไอ้คนเกิดมันก็คนเดิม เวลาเดิมคือข้าพเจ้า...

ลองหันไปหาเรื่อง"ฮวงจุ้ย"ดูบ้าง โอตะละแม่กุสุมา ห้องนอนข้าพเจ้าผิดหลักโดยแท้ ต้องย้ายทั้งเตียง ทั้งกระจก ทั้งตู้เก็บของ ตู้เสื้อผ้า แถมต้องปิดหน้าต่างในบางด้านอีก .... ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิด ทำไมกูต้องลำบากลำบนขนาดนี้วะ?... เตียงไม้โบราณเฮฟวี่คิงไซส์ ขนาดต้องใช้นักมวยปล้ำอาชีพ 3 คนในการย้ายแบบนี้ข้าพเจ้าจะให้ใครช่วย แถมกฏบางข้อก็ไม่รู้จะแก้ยังไง ย้ายเตียงหลบประตู ก็ไปตรงใต้แอร์ จะย้ายหลบใต้แอร์ก็หัวดันชนหน้าต่าง จะย้ายหนีหน้าต่างก็ดันหันเข้าส้วม........................... ในบางอารมณ์วาบความคิดส่งเสียง "ตกลงถ้ากูนอนเสื่อชีวิตคงดีขึ้นใช่ไหมเนี่ย?"

หลังมึนๆกับเทพธิดาพยากรณืหลายศาสตร์สักพัก ก็แวะเข้ามุมธรรมมะ... พบว่าสงบกว่ากันมาก ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้สติว่า เออหนอ จะแก้เคล็ดพิธีกรรมทั้งหลายทั้งปวงนอกตัวเราไปทำไม จะลำบากทุบบ้าน ทรงเจ้า บำเพ็ญอะไรแปลกๆไปทำไม แก้ที่ตัวเราเองไม่ดีกว่าหรือ.... ละชั่ว เจริญสติ สมาธิ สร้างกรรมดี บารมีผ่องแผ้ว ให้มันดี ก็น่าจะพอเปล่งรังสีออร่าแผ่ออกมากัน ไอ้พลังชี่ พลังจักรวาล พลังมารทั้งหลายได้ โดยไม่ต้องไปยุ่งยากอะไร.....
...
ให้มันรู้ไปสิวะ ว่า ถ้าทำหมั่นเจริญสติ ทำเรื่องดีๆ แล้วชีวิตมันยังจะบรรลัยจักร จนต้องไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนวันเกิด ทุบบ้าน ย้ายห้องเตียง ตู้ ห้องนอนใหม่
....
เว้นว่าข้าพเจ้าจะมีเพื่อนสนิทเป็น นักมวยปล้ำอาชีพสัก 2- 3 คนนะ อันนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าไม่มี..กูปูเสื่อเอาก็ได้วะ -_-"

๒๕๕๑-๐๙-๐๘

....โอมๆๆๆๆๆๆๆๆ....

...ล่องนาวา ทำบุญ 9 วัด ด้วยแว่นใหม่.... ไม่เมาเรือ ไม่เมาแว่น แต่ เครียด!!...

ตื่นแต่ตี 5 นอนไม่หลับ ได้นอนจริงๆประมาณ ช.ม.กว่าๆ เป็นเรือใหญ่จุคนได้เกือบ 300 หรูหราโอ่อ่ากับสาธุชนหน้าตาหวังอิ่มบุญเต็มลำ... เขาว่าปัญหามา ปัญญามี แต่บางทีก็งงงงกับเจตนา ด้วยระบบการจัดการที่ไม่ดี ผู้ใจบุญทั้งหลายก็แย่งเก้าอี้แย่งโต๊ะนั่งในเรือกันตั้งแต่ก้าวแรก ฉันนั่งตัวนี้ ฉันไม่มีโต๊ะ ฉันจองตรงนี้ ฉันแขก VIP ฉันมาสายอาจารย์อู๊ด แต่ฉันก็สายอาจารย์ช้างน้อย เอ๊ะฉันก็ใช่ย่อยเป็นแขกอาจารย์ธนสุนทร... ไม่มีใครยอมใคร แย่งกันประชดประชันเหน็บแนม...ข้าพเจ้าฟังไปยิ้มไป เริ่มหูตาลายมองเห็นก้อนบุญลอยหนีลงเรือไปโน่นแล้ว...

ไม่ต้องแปลกใจที่ทั้งเรือเต็มไปด้วย เหล่าครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพราะ Tripนี้ จัดโดยสมาคมโหราศาสตร์ไทย มองไปทางไหนก็มีแต่กองทัพพ่อหมอแม่หมอ แถมทุกแขนง ทั้งดูเลข 7 ตัว วันเดือนปีเกิด พลังจิต ไพ่ยิปซี ไพ่โฮทจั๊ต เลขบัตรประชาชน และอีกมากมายมหึมามหาศาล... ตัวข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้ดูหมอพลังจิตกับเขาด้วย ก่อนดูมีเรื่องไม่สบายใจอยู่แล้ว หลังดูยิ่งไม่สบายใจ 10 เท่าทวีคูณ ไอ้หยา ถ้าลื้อไม่ซี้ซั้วต่าแบบนี้อั๊วก็ซี้เลี้ยวหวา...ทายมาหนักหนาสาหัสทำเอาใจหดเหลือเท่าตดมดดำ -_-" เก็บมาคิดมากจนเกือบอ้วก..แบบนี้ไม่เรียกเมาเรือ แต่เป็นเมาหมอ.. ได้แต่ปลอบใจตัวเองด้วยคำท่านพุทธทาสที่ว่า ให้อยู่กับปัจจุบันอย่าไปฟุ้งซ่านอดีต อนาคต.. -_-"

ตลอดการเดินทางไม่รู้สึกอิ่มบุญเท่าไหร่นัก อาจเพราะบรรยากาศเร่งๆคล้ายคณะไกด์ทัวเกาหลีมากกว่า ลงเหยียบวัดไม่ทันจุดธูป ก็ได้เวลากลับขึ้นเรือแล้ว ข้าพเจ้าฉงนเหลือเกินหว่า การจำใจกราบไหว้ปะหลกๆสปีดอัพ แบบไม่ทันได้สวดมนต์จบบทแบบนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะฟังทันไหมหนอ....

Hi-Light สุดยอดของขบวนคือ ท่านครูบา ที่มาจากแม่ฮ่องสอน เพิ่งลงจากเขาออกจากถ้ำบำเพ็ญตบะมาหมาดๆ นับเป็นบุญญาวาสนาทองนักหนาที่ท่านจะมาทำพิธีเสกให้ น้อยคนที่จะได้แบบนี้ ขั้นตอนก็คือให้สวดอะไรสักอย่าง 9 จบ แล้วเข้าไปหาท่านจะเอาบาตรทูนไว้บนหัวเราแล้ว ท่องคาถาโอมๆ เสกๆ โน่นนี่ๆๆ ส่งพลังผ่านวูบๆมาเข้าร่างกายเราให้เจริญก้าวหน้า... ถึงคิวข้าพเจ้าและเพื่อนคลานเข้าไปคุกเข่าพนมมือ ท่าถามว่าข้าพเจ้าทำงานอะไร ก็บอกไปว่าด้านบันเทิง ท่านก็ทักว่าข้าพเจ้าช่างเหมือน พี่ฟอร์ดสบชัยยิ่งนัก แล้วก็ร่าย โอม$&*&ๆๆๆ อะไรสักอย่าง แล้วก็บอกว่า เทพบันเทิงๆๆจงมา ........ ฟังดูแหม่งๆ แต่ก็ยังไม่เท่าไร จะขำก็ไม่กล้า แต่ว่าปวดขาโคตรๆแทบตะคริวกิน คิวต่อไปสิเด็ด...

เพื่อนรักข้าพเจ้าทำงานด้านดนตรี บอกไปว่าเป็นนักดนตรี เล่นกีต้าร์ ครูบาท่านก็ร่าย โอมๆๆๆๆ $%&$...คาถาของท่านแล้วแทรก โอม เทพกีต้าร์ เทพเจ้ากีต้าร์จงมาๆ ดีดไปเสียงดังกังวานไกล ดีดไปใครได้ยินให้หลงใหลๆๆๆ...โอมๆๆ......นะโมพุทธทายะ....

ไม่ได้ไม่เชื่อ ไม่ได้ลบหลู่ใดๆ ...... แต่วินาทีที่ข้าพเจ้ากลั้นหัวเราะสุดชีวิตนั้น ...เอ่อ...... ข้าพเจ้ากำลังนึกถึงหน้า.....
JIMI HENDRIX !!!

๒๕๕๑-๐๙-๐๖

แก๊งค์วัยรุ่น...

... มึน งง ง่วง เวียนหัว จะอ้วก....

หลังจาก เมื่อวานซืนตัดผมสั้นจู๋จี๋.. จากยาวเป็นสั้น วันนี้ก็ได้ฤกษ์ ตัดแว่นใหม่... วัยรุ่นสุดขีดคั่น แต่ด้วยเลนส์ที่สายตาสั้นเพิ่มทำให้ขณะนั่งพิมพ์อยู่นี่ ยังมึนงงมาก มองอะไรกะระยะไม่ค่อยถูก เอื้อมมือไปหยิบของเหมือนว่าจะถึงแต่ก็ยังไม่ถึง กว่าจะขับรถกลับบ้านได้เล่นเอาวิงเวียนนัก...หวังว่าอาการจะดีขึ้น เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าล่องเรือ ถ้าเมาเรือ + เมาแว่น คงดูไม่จืด...

ช่วงนี้ใช้เงินมากมายในการเปลี่ยนแปลง... ตัดผมสั้น หาทรงไม่ได้ ก็ต้องซื้อ Wax มายี่กบาลให้ยุ่ง พุ่งๆ ชี้ๆ เข้าไว้เหมือนไฟไหม้ป่าสงวน คนที่ทำงานเห็นถึงกับตกใจ ไหนจะตัดแว่นใหม่อีก รองเท้าใหม่ รวมๆ โมดิฟายตัวเองไปเกือบหมื่นได้... เพื่อกลายร่างเป็น "แก๊งค์วัยรุ่น"ทำงานวงการบันเทิงทั้งที ก็อัพเดทแฟชั่นติงต๊องกับเขาดูซะหน่อยแล้วกัน อย่างน้อยก็ถือว่าเรียนรู้....อะไรไม่เคยลองก็ทำดู....

หลังจากเพื่อนเสียชีวิตไปหมาดๆ ก็ได้เข้าใจว่าชีวิตนั้นสั้นนัก เพราะฉะนั้น ก่อนจะแก่ ก่อนจะตาย ลองทำตัวเป็น "แก๊งค์วัยรุ่น" ดูเสียหน่อย ก็น่าจะสนุกดี.. เหอๆๆๆๆๆ

ถ้าไม่อ้วกแตกพรุ่งนี้ก่อนน่ะนะ...แว่นอะไรวะ ทำหล่อเวียนหัวซะได้.... -_-"

๒๕๕๑-๐๙-๐๓

....................................

... เมื่อคืนก่อนมีคนตาย... มีคนบาดเจ็บ .....คนไทยฆ่ากันเอง... ช่างสิ...ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจเลย...
เพราะข้าพเจ้าเศร้ามาก่อนหน้านั้นแล้ว... มีคนตายก่อนหน้านั้นแล้ว... ข้าพเจ้าร้องไห้ไปแล้ว... ข้าพเจ้าคิดถึงเธอไปแล้ว...ข้าพเจ้าจึงไม่อยากคิดถึง คนไทยโง่ๆที่ฆ่ากันเองอีก...

.. 23.25 น. ของคืนวันจันทร์ พี่ที่ทำงานโทรมาบอกว่า เพื่อนที่ป่วยอยู่ได้จากไปอย่างสงบ....
อายุ 28 น้อยเกินไปนักสำหรับการจากไปของคนดีๆ... และมากเกินไปเหลือเกินกับการยังมีชีวิตอยู่ของนักการเมืองชั่วๆ..

ข้าพเจ้าแทบไม่มีความรู้สึกใดๆเมื่อทราบข่าว ข้าพเจ้ายังหน้าหน้าจอคอมต่อไปเหมือนเคย... ไม่ตกใจ ไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่งง ไม่มีคำถาม....ไม่มีอะไรทั้งนั้น

สมองเหมือนว่างเปล่า และหยุดพักชั่วครู่.. กว่าที่น้ำตาจะไหลออกมาก็ผ่านไปหลายชั่วโมง เมื่อข้าพเจ้าหยิบกีต้าร์ขึ้นมา ร้องเพลงพร้อมๆกับร้องไห้..

"ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...
และไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ไหน ...
ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...ฉันไม่มีเธอแล้ว...

และเธออยู่ไกลแสนไกล ...
แต่แม้อย่างนั้น ฉันก็ยังอยากบอกเธอ ให้เธอมาฟังใกล้ๆ ...

ฉันยังมีเธอนะ...ฉันยังมีเธอนะ...ฉันยังมีเธอนะ...

ทุกวินาทีที่ฉันหายใจ
เธอยังคงอยู่ตรงนี้... เพราะฉันนั้นรู้ดี ...

ไม่ว่าไกลเท่าไหร่ นานเท่าไหร่
แต่เรายังมีกันอยู่ใช่ไหม....."
....
....
"คนดี"....